สาระน่ารู้

 WW1


สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (อังกฤษ: World War I หรือ First World War) ยังเป็นที่รู้จักกันคือ "สงครามโลกครั้งแรก" หรือ "มหาสงคราม" (Great War) เป็นสงครามทั่วโลกที่กินเวลาจากวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึง 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 โดยถูกอธิบายอย่างใคร่ครวญว่าเป็น "สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งหมด"[5] มันนำไปสู่การระดมพลบุคลากรทางทหารมากกว่า 70 ล้านนาย รวมทั้งชาวยุโรป 60 ล้านคน ทำให้เป็นหนึ่งในสงครามขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์[6][7] นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่อันตรายร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์[8] โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณเก้าล้านคนและพลเรือนเสียชีวิต 13 ล้านคนอันเป็นผลโดยตรงจากสงคราม[9] ในขณะที่ได้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการระบาดครั้งใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สเปนในปี ค.ศ. 1918 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีก 17 - 100 ล้านคนทั่วโลก[10][11]

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 กัฟรีโล ปรินซีป ชาวเซิร์บบอร์สเนีย นักชาตินิยมยูโกสลาฟ ได้ลอบปลงพระชนม์ อาร์ชดยุก ฟรันซ์ แฟร์ดีนันท์ รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี ในเมืองซาราเยโว ได้นำไปสู่วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคม[12][13] ในการตอบสนอง ออสเตรีย-ฮังการีได้ยื่นคำขาดต่อเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม คำตอบของเซอร์เบียได้ล้มเหลวในการสร้างความพึงพอใจให้กับชาวออสเตรีย และทั้งสองฝ่ายต่างได้เข้าสู่สงคราม

เครือข่ายของพันธมิตรที่ประสานกันได้ขยายวิกฤตจากปัญหาทวิภาคีในคาบสมุทรบอลข่านจนไปสู่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับส่วนใหญ่ของยุโรป ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1914 มหาอำนาจของยุโรปได้ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มพันธมิตร: ไตรภาคี ประกอบไปด้วยฝรั่งเศส รัสเซีย และบริติช และไตรพันธมิตรของเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี ไตรพันธมิตร เป็นเพียงการป้องกันโดยธรรมชาติทำให้อิตาลีอยู่ห่างจากสงครามจนถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 1915 เมื่อเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ภายหลังจากความสัมพันธ์กับออสเตรีย-ฮังการีได้ย่ำแย่ลง[14] รัสเซียรู้สึกว่าจำเป็นต้องให้การสนับสนุนแก่เซอร์เบียและอนุมัติการระดมพลทหารบางส่วน ภายหลังจากออสเตรีย-ฮังการีได้เข้ายึดครองกรุงเบลเกรด เมืองหลวงของเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม[15] การระดมพลทหารอย่างเต็มรูปแบบของรัสเซียได้ถูกประกาศในช่วงค่ำของวันที่ 30 กรกฎาคม วันต่อมา ออสเตรีย-ฮังการีและเยอรมนีได้ทำแบบเดียวกัน ในขณะที่เยอรมนีได้เรียกร้องให้รัสเซียยกเลิกการะดมพลทหารภายในเวลาสิบสองชั่วโมง[16] เมื่อรัสเซียไม่ปฏิบัติตามคำเรียกร้อง เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียในวันที่ 1 สิงหาคมเพื่อให้การสนับสนุนแก่ออสเตรีย-ฮังการี ตามหลังด้วยในวันที่ 6 สิงหาคม ฝรั่งเศสได้สั่งให้ระดมพลทหารอย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้การสนับสนุนแก่รัสเซีย เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม[17]

ยุทธศาสตร์ของเยอรมนีในการทำสงครามสองแนวรบกับฝรั่งเศสและรัสเซียคือ การรวบรวมกองทัพจำนวนมากในตะวันตกอย่างรวดเร็วเพื่อเอาชนะฝรั่งเศสภายในเวลาหกสัปดาห์ จากนั้นก็สัปเปลี่ยนกองกำลังไปยังทางตะวันออกก่อนที่รัสเซียจะระดมพลทหารได้อย่างเต็มที่ สิ่งนี้เป็นที่รู้จักกันในเวลาต่อมาคือ แผนชลีเฟิน[18] เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม เยอรมนีได้เรียกร้องให้เคลื่อนทัพผ่านทางเบลเยียมโดยเสรี ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการบรรลุชัยชนะอย่างรวดเร็วต่อฝรั่งเศส[19] เมื่อคำเรียกร้องได้ถูกปฏิเสธ กองทัพเยอรมันจึงบุกครองเบลเยียมในวันที่ 3 สิงหาคม และประกาศสงครามกับฝรั่งเศสในวันเดียวกัน รัฐบาลเบลเยียมได้เรียกร้องสนธิสัญญาลอนดอน ค.ศ. 1839 และเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาฉบับนี้ บริติชจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม บริติชและฝรั่งเศสยังได้ประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ญี่ปุ่นได้เข้าข้างกับบริติช ได้เข้ายึดครองดินแดนของเยอรมันในจีนและแปซิฟิก ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1914 จักรวรรดิออตโตมันได้เข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง ได้ทำการเปิดแนวรบในคอลเคซัส เมโสโปเตเมีย และคาบสมุทรไซนาย สงครามเป็นการสู้รบกันใน (และดึงดูดเข้ามา) ดินแดนอาณานิคมของมหาอำนาจแต่ละฝ่ายได้กระจายความขัดแย้งไปยังแอฟริกาและทั่วโลก ฝ่ายภาคีและประเทศพันธมิตรต่างๆ ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักกันคือ ฝ่ายสัมพันธมิตร ในขณะที่การรวมกลุ่มของออสเตรีย-ฮังการี เยอรมนี และประเทศพันธมิตรต่างๆ ได้กลายเป็นที่รู้จักกันคือ ฝ่ายมหาอำนาจกลาง

เยอรมันได้รุกเข้าสู่ฝรั่งเศสได้หยุดชะงักลงในยุทธการที่มาร์น และในช่วงปลายปี ค.ศ. 1914 แนวรบด้านตะวันตกได้เข้าสู่สงครามการบั่นทอนกำลัง โดยมีการขุดแนวสนามเพลาะเป็นเส้นทางยาวที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจนถึงปี ค.ศ. 1917 (แนวรบด้านตะวันออก ซึ่งตรงกันข้าม ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนกันโดยดินแดนขนาดใหญ่มาก) ในปี ค.ศ. 1915 อิตาลีได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรและเปิดแนวรบในเทือกเขาแอลป์ บัลแกเรียได้เข้าร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลางในปี ค.ศ. 1915 และกรีซได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในปี ค.ศ. 1917 ซึ่งได้ขยายสงครามในคาบสมุทรบอลข่าน สหรัฐอเมริกาในช่วงแรกได้วางตัวเป็นกลาง แม้ว่าจะยังคงวางตัวเป็นกลาง ก็ได้กลายเป็นผู้จัดส่งที่สำคัญที่สุดในการส่งวัสดุสงครามให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร ในท้ายที่สุด ภายหลังจากการจมเรือพาณิชย์ของอเมริกันโดยเรือดำน้ำเยอรมัน คำประกาศของเยอรมนีว่ากองทัพเรือจะกลับมาโจมตีอย่างต่อเนื่องต่อการเดินเรือที่เป็นกลาง และมีการเปิดเผยว่าเยอรมนีได้พยายามปลุกระดมให้แม็กซิโกริเริ่มทำสงครามกับสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917 กองทัพอเมริกันที่ได้รับการฝึกฝนซึ่งยังไม่ได้เริ่มออกเดินทางไปยังแนวหน้าในจำนวนมากมาย จนกระทั่งกลางปี ค.ศ. 1918 แต่กองกำลังรบนอกประเทศอเมริกันซึ่งท้ายที่สุดก็มีจำนวนทหารถึงสองล้านนาย[20]

แม้ว่าเซอร์เบียจะพ่ายแพ้ไปในปี ค.ศ. 1915 และโรมาเนียก็ได้เข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรในปี ค.ศ. 1916 แต่กลับประสบความพ่ายแพ้ในปี ค.ศ. 1917 ไม่มีประเทศชาติมหาอำนาจใดถูกโค่นล้มออกจากสงครามจนถึงปี ค.ศ. 1918 ปี การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 ในรัสเซีย ได้เข้ามาแทนที่อำนาจของพระเจ้าซาร์โดยรัฐบาลเฉพาะกาล แต่ความไม่พอใจอย่างต่อเนื่องกับความสิ้นเปลืองของสงคราม จนนำไปสู่การปฏิวัติเดือนตุลาคม การก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต และลงนามในสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์โดยรัฐบาลใหม่ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 เป็นอันสิ้นสุดของการมีส่วนร่วมของรัสเซียในสงคราม ตอนนี้ เยอรมนีได้เข้าควบคุมยุโรปตะวันออกและย้ายกองกำลังรบจำนวนมากไปยังแนวรบด้านตะวันตก การใช้กลยุทธ์ใหม่ การรุกของเยอรมันในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 ได้ประสบความสำเร็จในช่วงแรก ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ล่าถอยและยืนหยัดไว้ กองกำลังสำรองสุดท้ายของเยอรมันได้หมดลง เมื่อกองกำลังทหารอเมริกันที่มีความสดใหม่ 10,000 นายได้เดินทางมาถึงทุกๆ วัน ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ขับไล่เยอรมันให้กลับไปในการรุกร้อยวัน การโจมตีอย่างต่อเนื่องซึ่งเยอรมันไม่อาจตอบโต้ได้เลย[21] ต่อมาได้มีประเทศในฝ่ายมหาอำนาจกลางได้ประกาศที่จะถอนตัว ประเทศแรกคือ บัลแกเรีย ต่อจากนั้นก็เป็นจักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เมื่อพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ได้เกิดการปฏิวัติขึ้นในประเทศบ้านเกิด และกองทัพก็ไม่เต็มใจที่จะต่อสู้รบอีกต่อไป จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มได้สละราชบังลังก์ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน และเยอรมนีได้ลงนามในการสงบศึก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เป็นอันสิ้นสุดลงของการสู้รบ

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในบรรยากาศทางการเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคมของโลก สงครามและผลผวงโดยฉับพลันได้จุดประกายการปฏิวัติและการก่อการกำเริบมากมาย บิ๊กโฟร์ (บริติช ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และอิตาลี) ได้กำหนดเงื่อนไขของพวกเขาเกี่ยวกับประเทศมหาอำนาจที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสนธิสัญญาต่างๆ ที่ได้ตกลงกันในการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ สนธิสัญญาสันติภาพของเยอรมัน: สนธิสัญญาแวร์ซาย[22] ในท้ายที่สุด อันเป็นผลมาจากสงคราม จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิรัสเซียต่างได้ล่มสลายไปเสียแล้ว และประเทศรัฐใหม่จำนวนมากได้ถูกก่อตั้งขึ้นจากส่วนที่เหลือของพวกเขา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงสุดท้าย ฝ่ายสัมพันธมิตรจะได้รับชัยชนะ(และการก่อตั้งสันนิบาตชาติในช่วงการประชุมสันติภาพโดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเกิดสงครามขึ้นในอนาคต) สงครามโลกครั้งที่สองได้เกิดขึ้นตามมาในอีกยี่สิบปีต่อมา


Doppelgänger


ด็อพเพิลเก็งเงอร์ (เยอรมัน: Doppelgänger) เป็นความเชื่อ โดย doppel มีความหมายเดียวกับคำว่า double ในภาษาอังกฤษหรือแปลได้ว่า "ซ้ำสอง" ส่วนคำว่า gänger หมายถึง "goer" มีคำเรียกอีกอย่างว่า evil twin (แฝดปีศาจ) หรือ bilocation (การปรากฏตนในสองสถานที่) ซึ่งมีที่มาจากเรื่องเล่าขานพื้นบ้านของเยอรมัน

นิยามกว้าง ๆ ของด็อพเพิลเก็งเงอร์ กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่มีการพบเห็นบุคคลหนึ่งผู้ในเวลาเดียวกันแต่ต่างสถานที่ ศัพท์นี้ได้ถูกนำมาใช้มากที่สุดกับกรณีของฝาแฝดผู้ชั่วร้าย ซึ่งปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปในวรรณกรรมและภาพยนตร์แนวลึกลับต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วด็อพเพิลเก็งเงอร์ถูกถือเป็นสัญญาณแห่งความโชคร้าย ความเจ็บป่วยหรือภยันตรายจะเกิดขึ้นหากเพื่อนฝูงหรือเครือญาติได้พบเห็น ในขณะที่การพบเห็นด็อพเพิลเก็งเงอร์ของตนจะนำมาซึ่งความตาย ถึงกระนั้น รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่ว่านี้นั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงดังกล่าว เนื่องจากเรื่องราวและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับคำนี้มีขอบเขตที่กว้างกว่านั้นมาก

ด็อพเพิลเก็งเงอร์ เป็นคำที่ใช้เรียกกรณีที่มนุษย์คนหนึ่งได้ปรากฏตัวตนเพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกคนหนึ่งซึ่งจะมีลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกประการ

ตามเรื่องราวที่เล่าขานกันมาด็อพเพิลเก็งเงอร์นั้นจะไม่มีเงาของตัวเอง รวมทั้งไม่มีภาพสะท้อนบนกระจกหรือผิวน้ำ มันอาจจะให้คำแนะนำอะไรบางอย่างกับบุคคลต้นแบบของมันด้วยเจตนาร้ายซึ่งยุแยงให้เกิดความเข้าใจผิดต่าง ๆ หรืออาจจะปรากฏตัวต่อหน้าญาติมิตรเพื่อทำให้เกิดความสับสน และมันอาจจะปรากฏตัวในลักษณะที่สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ยามที่บุคคลต้นแบบของมันเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเกิดความคิดของมนุษย์ตัวจริงได้ไม่ดีหรือคิดชั่วร้าย มนุษย์ที่เป็นด็อพเพิลเก็งเงอร์จะกลืนกินความชั่วนั่นมาเก็บไว้ที่ตัวเอง ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปรากฏการณ์ด็อพเพิลเก็งเงอร์นั้นเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด ความเชื่อบางประเภทนั้นยึดหลักที่ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกจะมีฝาแฝดของตนอยู่ หากบุคคลนั้นเป็นคนดี ฝาแฝดก็จะชั่วร้าย หากบุคคลนั้นเป็นคนชั่วร้าย ฝาแฝดก็จะเป็นไปในทางกลับกัน และการที่ฝาแฝดทั้งสองมาพบกันนั้นก็จะยังผลให้ทั้งคู่ต้องพบกับจุดจบของชีวิต บ้างก็เชื่อว่าด็อพเพิลเก็งเงอร์เป็นภูตผีปีศาจในรูปแบบหนึ่งที่จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงลางร้าย หากพวกมันไม่ได้นำพามาซึ่งลางร้ายเสียเอง นอกเหนือไปจากนี้แล้ว บุคคลบางกลุ่มมีความเห็นเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ว่านี้ว่าน่าจะเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้พลังจิตที่มีชื่อเรียกว่า "Out-of-Body Experience" หรือ "Astral Projection" ในกรณีนี้มีการกล่าวอ้างว่ามีหลายคนพบเห็นพราหมณ์บางคนหลายสถานที่ในเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่พราหมณ์ผู้นั้นกำลังนอนอยู่


空知英秋


ฮิเดอากิ โซราจิ (ญี่ปุ่น空知英秋 โรมาจิ: Sorachi Hideaki ทับศัพท์: เกิด 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2522)[1] เป็นนักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงจากผลงานหนังสือการ์ตูนกินทามะ ซึ๋งเขียนตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2546 [2] หนังสือการ์ตูนกินทามะมียอดขาย 50 ล้านเล่มในญี่ปุ่น ณ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2559 [3]

โซราจิเริ่มสนใจการ์ตูนในวัยเด็ก อย่างไรก็ตามระหว่างที่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โซราจิได้แสดงผลงานการ์ตูนให้กับพ่อของเขาซึ่งก็หัวเราะเยาะเขาทันที หลังจากนั้นเขาก็ละทิ้งความฝันที่จะเป็นนักเขียนการ์ตูน หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยเขาไม่สามารถหางานทำและเริ่มวาดการ์ตูนอีกครั้งเพื่อหารายได้ เขาสามารถอยู่ได้จากผลงานการ์ตูนเรื่องแรกชื่อ Dandelion ซึ่งภายหลังได้ตีพิมพ์รวมอยู่ในหนังสือการ์ตูนกินทามะเล่มแรก โดยโซราจิเรียกการ์ตูนเรื่องนี้ว่าเป็นผลงานอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเขา เมื่อเริ่มต้นการเขียนการ์ตูนเรื่องยาว การ์ตูนกลับไม่เป็นที่นิยมและเสี่ยงต่อการถูกตัดจบ แม้ว่าโซราจิจะพอใจกับหนังสือการ์ตูนรวมเล่มฉบับแรกที่ขายได้ทั้งหมด แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้ว่าสำนักพิมพ์ชูเอฉะกังวลเรื่องยอดขายจึงตีพิมพ์เป็นจำนวนน้อย[4] เพื่อเพิ่มความนิยมผู้เขียนแนะนำกลุ่มตัวละครใหม่คือกลุ่มชินเซ็นงุมิ ที่รู้สึกว่าน่าจดจำกับผู้ช่วยของเขา [5] โซราจิมีความหวังเล็กน้อยเกี่ยวกับความนิยมของการ์ตูน โดยเขาสังเกตเห็นว่าหลายคนเคยบอกว่าการ์ตูนไม่น่าจะได้ตีพิมพ์เป็นฉบับรวมเล่มเกิน 2 เล่ม อย่างไรก็ตามเมื่อหนังสือการ์ตูนเล่มที่สามวางจำหน่าย โซราจิพบว่าเขาไม่มี "วัตถุดิบสดใหม่ที่จะใช้" [6] ในช่วงปีแรกของซีรีส์ โซราจิเชื่อว่าที่มาของความนิยมของกินทามะส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับละครชินเซ็นงุมิ ในขณะที่ละครออกอากาศในช่วงปีแรกของซีรีส์เมื่อการ์ตูนส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้นที่สร้างตัวละครและโลก เขารู้สึกไม่สบายใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับละคร ในปีที่สองและต่อ ๆ ไปเขาเริ่มกล้าที่จะสร้างเรื่องราวและแนวความคิดของตัวเองมากขึ้น สร้างเส้นเรื่องที่ยาวขึ้นซึ่งรวมถึงเพื่มความดราม่ามากขึ้นในขณะที่ยังคงรักษาอารมณ์ขันและการเสียดสีของญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน[7] แม้ว่าโซราจิได้วางแผนที่จะจบซีรีส์แล้ว แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามังงะจะไปถึงจุดนั้นเนื่องจากตัวละครที่ต้องการการพัฒนาที่จะทำตัวเหมือนที่เขาต้องการ[4]

เค็นตะ ชิโนฮาระ (ผู้เขียนการ์ตูนเรื่อง สเก็ต ดานซ์) เคยเป็นผู้ช่วยของเขา [8] เช่นเดียวกับโยอิจิ อามาโนะ (ผู้เขียนการ์ตูนเรื่อง AKABOSHI ตำนาน 108 วีรบุรุษ ) กินทามะและสเก็ตดานซ์มีบทผสานเรื่องกันในโชเน็งจัมป์รายสัปดาห์ ในเรื่องกินทามะตอนที่ 349 และในเรื่องสเก็ต ดานซ์ ตอนที่ 180 ซึ่งเป็น 349

โซราจิปรากฏตัวทั้งในหนังสือการ์ตูนและอนิเมะของกินทามะหลายครั้งในฐานะลิง

ผลงาน

  • กินทามะ -- การ์ตูนเรื่องยาว (พ.ศ. 2546-2562)
  • กินทามะ ปี 3 ห้อง Z ครูซ่ากินปาจิ -- ไลท์โนเวล (พ.ศ. 2549-ปัจจุบัน) รับผิดชอบวาดภาพประกอบ (ไลท์โนเวลเขียนเรื่องโดยโทโมฮิโตะ โอซากิ)
  • แดนดิไลออน -- การ์ตูนสั้นจบในตอน ตีพิมพ์ร่วมในหนังสือการ์ตูนกินทามะ เล่ม 1
  • ชิโร่คุโร่ -- การ์ตูนสั้นจบในตอน ตีพิมพ์ร่วมในหนังสือการ์ตูนกินทามะ เล่ม 2
  • 13 -- การ์ตูนสั้นจบในตอน (พ.ศ. 2551) ตีพิมพ์ร่วมในหนังสือการ์ตูนกินทามะ เล่ม 24
  • บังคาระซังมาแล้ว!! -- การ์ตูนสั้นจบในตอน (พ.ศ. 2553) ตีพิมพ์ร่วมในหนังสือการ์ตูนกินทามะ เล่ม 38
  • ซามูไรเดอร์ -- หยุดงานในขั้นร่างภาพ


ไพ่นกกระจอก

ไพ่นกกระจอก (จีนตัวเต็ม: 麻將; จีนตัวย่อ: 麻将; พินอิน: má jiàng; หรือ จีนกวางตุ้ง: 麻雀; พินอิน: má què; แต้จิ๋ว: เหมาะเจี๊ยะ moh4 ziah8; ฮกเกี้ยน: มัวเจียง; อังกฤษ Mahjong) ถือว่าเป็นการพนันชนิดหนึ่งซึ่งคนจีนเป็นผู้เผยแพร่ แต่สำหรับที่ประเทศจีนนั้นเขามีการสนับสนุนให้มีการเล่นนี้ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ควรอนุรักษ์แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่ได้วางไว้ โดยห้ามเล่นเกินเที่ยงคืน

ร่องรอยประวัติศาสตร์ของไพ่นกกระจอกสามารถพิสูจน์ได้ครึ่งหลัง ปี ค.ศ.1890 ใน ดินแดน Ning Po ประเทศจีน ไพ่นกกระจอกได้แพร่หลายไปทั่วจีน ซึ่งแต่ละพื้นเมืองของจีนก็มีการประยุกต์เกมกันไปต่างก็มีกฎเป็นตัวของตัวเองแตกต่างกัน หลังสงครามโลก โจเซฟ บาบคอก (Joseph Babcock) แพทย์ฝึกหัดชาวอเมริกาในเซี่ยงไฮ้ ได้จัดพิมพ์คู่มือเล่นไพ่นกกระจอกตามคำแนะนำของ Walker วิศวกรชาวอังกฤษ ว่าให้เพิ่มตัวเลขอารบิกลงไปบนตัวหมากซึ่งทำให้จำแนกตัวหมากได้และง่ายต่อการเล่น

หน้าตาไพ่และอุปกรณ์[แก้]

ไพ่นกกระจอกจะมีไพ่ทั้งหมด 5 ชุดมาตรฐานด้วยกัน ได้แก่ ชุดท้ง ชุดเสาะ ชุดบ่วง ชุดทิศทั้งสี่ และชุดมังกร ผู้เล่นไพ่นกกระจอกบางกลุ่มอาจจะมีทั้ง 7 ชุดด้วยกัน โดยชุดที่เพิ่มมานั่นคือ ชุดดอกไม้และชุดฤดูกาล

MJt1.pngMJt2.pngMJt3.pngMJt4.pngMJt5.pngMJt6.pngMJt7.pngMJt8.pngMJt9.png
ภาพแสดงชุดท้ง

ชุดท้ง[แก้]

ลายไพ่มีลักษณะเป็นวงกลมสีสันมีตั้งแต่เลข 1-9 ซึ่งแต่ละตัวจะมีอย่างละ 4 ตัว ดังนั้นจึงมีทั้งหมด 36 ตัวด้วยกัน

MJs1.pngMJs2.pngMJs3.pngMJs4.pngMJs5.pngMJs6.pngMJs7.pngMJs8.pngMJs9.png
ภาพแสดงชุดเสาะ

ชุดเสาะ[แก้]

เสาะ แปลได้เป็นกิ่งไม้ ดังนั้นลักษณะของไพ่ชุดนี้จะเป็นท่อนสีเขียว ไพ่ชุดนี้ผู้ผลิตบางรายจึงออกแบบให้เลขหนึ่งของชุดเป็นนกเกาะบนกิ่งไม้ ชุดนี้จะมีตั้งแต่ 1-9 มีอย่างละ 4 ตัว ซึ่งรวมแล้วมีทั้งหมด 36 ตัว

MJw1.pngMJw2.pngMJw3.pngMJw4.pngMJw5.pngMJw6.pngMJw7.pngMJw8.pngMJw9.png
ภาพแสดงชุดบ่วง

ชุดบ่วง[แก้]

บ่วง แปลว่าหมื่น ลักษณะของไพ่ชุดนี้จะมีแต่อักษรจีนล้วนๆ มีตั้งแต่ 1-9 มีอย่างละ 4 ตัว จึงมีทั้งหมด 36 ตัวเช่นกัน

MJf1.pngMJf2.pngMJf3.pngMJf4.png
ภาพแสดงชุดทิศ

ชุดทิศ[แก้]

ทิศ มีทั้งหมด 4 ทิศด้วยกัน ได้แก่ ตัง ทิศตะวันออก ไซ ทิศตะวันตก หน่ำ ทิศใต้ ปัก ทิศเหนือ แต่ละทิศมีอย่างละ 4 ตัว เพราะฉะนั้นชุดนี้มีทั้งหมด 16 ตัว

MJd1.pngMJd2.pngMJd3.png
ภาพแสดงชุดมังกร


ชุดมังกร[แก้]

มังกรมีทั้งหมด 3 พันธุ์ ได้แก่ มังกรแดง “ตง” มังกรเขียว “แชฮวด หรือ ฮวดไช้” มังกรขาว “แปะปั้ง” มีทั้งหมด 12 ตัวด้วยกัน (มีอย่างละ 4 ตัว)

MJh5.pngMJh6.pngMJh7.pngMJh8.png
ภาพแสดงชุดดอกไม้


ชุดดอกไม้[แก้]

มีพันธุ์ดอกไม้ด้วยกัน 4 พันธุ์ ได้แก่ พลัม กล้วยไม้ เก็กฮวยและไผ่ ชุดนี้ก็จะมีอักษรจีนเขียนกำกับไว้เช่นเดียวกัน แต่ละพันธุ์ไม้มีอย่างละ 1 ตัว รวมทั้งหมดมี 4 ตัวด้วยกัน ชุดพันธุ์ไม้นี้ผู้เล่นบางกลุ่มอาจจะไม่นับชุดนี้มาเล่น

MJh1.pngMJh2.pngMJh3.pngMJh4.png
ภาพแสดงชุดฤดูกาล


ชุดฤดูกาล[แก้]

มีลักษณะคล้ายๆ รูปดอกไม้ แต่มีจะมีอักษรจีนกำกับไว้ว่าเป็นฤดูอะไร จะมีฤดูด้วยกัน 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว แต่ละฤดูมีอย่างละ 1 ตัวด้วยกัน ดังนั้นจึงมีทั้งหมด 4 ตัว ชุดฤดูกาลนี้ผู้เล่นบางกลุ่มอาจจะไม่นับชุดนี้เข้ามาเล่นเช่นกัน

ภาพแสดงลูกเต๋าและตัวกำหนดทิศ

ลูกเต๋าและตัวกำหนดทิศ[แก้]

การเล่นไพ่นกกระจอกขาดไม่ได้เลยก็คือ ลูกเต๋า 3 ลูก และตัวกำหนดทิศ ซึ่งจะกำหนด 4 ทิศหลักเท่านั้น ซึ่งก็คือ ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนือ

โต๊ะ[แก้]

โต๊ะสี่เหลี่ยม 36×36 นิ้ว หรือแล้วแต่ตามสะดวกของผู้เล่น

วิธีการเล่น[แก้]

กฎ[แก้]

มีการกำหนดกฎก่อนการเล่น อย่างเช่น ตัวเลขมากที่สุดของคะแนนในการชนะและการชนะแบบพิเศษ

จำนวนผู้เล่น[แก้]

ผู้เล่น 4 คน (2, 3 คนก็เล่นได้)

ชนะอย่างไร[แก้]

ไพ่นกกระจอกเป็นการสะสมไพ่ให้ครบ 4 กลุ่มจากการ “เฉ่า”, “ผ่อง” หรือ “กั่ง” และต้องมีคู่ไพ่ที่เหมือนกันเรียกว่า “หนั่ง” เวลาชนะผู้ชนะต้องพูด “เหมาะเจี๊ยะ”

MJt4.pngMJt5.pngMJt6.png
MJw4.pngMJw5.pngMJw6.png
MJs4.pngMJs5.pngMJs6.png
ตัวอย่างการ “เฉ่า” จากชุด 4,5,6 ท้ง 4,5,6 บ่วง และ 4,5,6 เสาะ (บนลงล่าง)

เฉ่า[แก้]

“เฉ่า” คือเรียงลำดับตัวไพ่ในชุดเดียวกัน 3 ตัว จากไพ่ชุดใดๆ ก็ได้ เป็นการเก็บไพ่จากผู้เล่นที่มีตำแหน่งทิศสูงว่าเราซึ่งก็คือคนที่นั่งทางซ้ายมือเรา เมื่อเขาทิ้งไพ่ลงมาแล้วในมือเรามีไพ่ชุดเดียวกันในมือ 2 ตัว (ต้องเป็นการเรียงลำดับ) เราต้องพูดว่า “เฉ่า” เพื่อที่เราจะได้เก็บไพ่ขึ้นมาเป็นของเรา และต้องเปิดไพ่ที่เราเลือกนำมาเรียงเป็นลำดับด้วย 3 ตัว

MJw8.pngMJw8.pngMJw8.png
MJs5.pngMJs5.pngMJs5.png
MJt2.pngMJt2.pngMJt2.png
ตัวอย่างการ “ผ่อง” จากชุด 8 บ่วง 5 เสาะ และ 2 ท้ง (บนลงล่าง)

ผ่อง[แก้]

“ผ่อง” คือ กลุ่มไพ่ที่มีไพ่ 3 ตัวเหมือนกันจากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ เป็นการเก็บไพ่จากที่ผู้เล่นอื่นทิ้งไพ่ลงมาสามารถเก็บได้จากผู้เล่นทุกคน การ “ผ่อง” นี้เราต้องมีไพ่แบบเดียวกันในมือ 2 ตัว เมื่อผู้เล่นใดๆ ทิ้งไพ่แบบที่เรามีเราต้องพูดออกไปว่า “ผ่อง” แล้วเราจะเก็บไพ่ตัวนั้น (การ “ผ่อง” สามารถเก็บไพ่ข้ามต่ำแหน่งทิศได้) และต้องเปิดกลุ่มไพ่ที่เรา “ผ่อง” ด้วย

MJd1.pngMJd1.pngMJd1.pngMJd1.png
ตัวอย่างวิธี “กั่ง” ชุดมังกรตัว “ตง”


กั่ง[แก้]

“กั่ง” คือไพ่ตัวเดียวกัน 4 ตัว จากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ การ “กั่ง” สามารถ “กั่ง” ได้ 2 วิธี

  • “กั่ง” เป็นการเก็บไพ่มีหลักคล้ายๆ การ “ผ่อง” คือเราต้องมีไพ่ที่เหมือนกันในมือ 3 ตัวอยู่แล้ว เมื่อผู้เล่นใดๆ ทิ้งไพ่แบบที่เรามีในมือลงมาเราต้องพูด “กั่ง” จึงสามารถเก็บไพ่และต้องเปิดไพ่ด้วย แต่ที่แตกต่างไปจากการ “ผ่อง” คือ การ “กั่ง” สามารถจั่วไพ่เพิ่มได้อีก 1 ตัว จากไพ่ตัวสุดท้ายที่คว่ำที่อยู่แถวสุดท้าย
  • “กั่ง” โดยที่เรามีไพ่เหมือนกันอยู่แล้ว 3 ตัวในมือและเราสามารถจั่วไพ่ตัวที่ 4 ขึ้นมาได้ให้พูด “กั่ง” และเปิดไพ่ และสามารถจั่วไพ่เพิ่มได้อีก 1 ตัว จากไพ่ตัวสุดท้ายที่คว่ำอยู่แถวสุดท้าย

หนั่ง[แก้]

“หนั่ง” คือ ไพ่ 2 ตัวเหมือนกันจากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ไม่ว่าจะเป็นชุดท้ง, เสาะ, บ่วง, มังกรหรือทิศ “หนั่ง” นี้ไม่ได้เป็นหนึ่งวิธีในการเก็บไพ่ แต่มันเป็นคู่ไพ่ที่สำคัญมาก หากผู้เล่นใดสามารถสะสมไพ่ครบ 4 กลุ่มแล้วแต่หากขาดคู่ “หนั่ง” นี้ก็ยังไม่ชนะ (สามารถดูตัวอย่างได้จาก การชนะแต่ละประเภท)

การสร้างกำแพง[แก้]

  • หมายเหตุ ในบทความนี้จะกล่าวถึงการเล่นไพ่นกกระจอกโดยการใช้ชุดไพ่มาตรฐาน 5 ชุดด้วยกัน

นำไพ่ทั้ง 5 ชุดซึ่งได้แก่ ชุดท้ง, เสาะ, บ่วง, ทิศและมังกร มาคว่ำหน้าแล้วล้างไพ่ จากนั้นให้ผู้เล่นต่างช่วยกันสร้างกำแพงทั้งสี่ด้านขึ้นมาโดยให้ยาวด้านละ 17 ตัว 2 ชั้น (หมายถึงมีด้านบนและด้านล่างยาว 17 ตัวเท่ากัน) จากนั้นดันกำแพงที่ผู้เล่นสร้างมาไว้ด้านหน้าให้ตั้งเป็นแนวเฉียงล้อมให้เป็นกรอบสี่เหลี่ยมทั้ง 4 ด้าน

ภาพแสดงการตั้งกำแพงไพ่

ความสัมพันธ์ของผู้เล่น[แก้]

การเล่นไพ่นกกระจอกจะมีการกำหนดทิศของผู้เล่นแต่ละคนโดยในที่นี้ทิศตะวันออก (เจ้ามือ) สูงกว่าทิศใต้ ทิศใต้สูงกว่าทิศตะวันตก ทิศตะวันตกสูงกว่าทิศเหนือ และทิศเหนือสูงกว่าทิศตะวันออก

เจ้ามือ คือผู้เล่นตำแหน่งทิศตะวันออกจะมีสิทธิในการทอยลูกเต๋า เพื่อเป็นตัวกำหนดว่าจะเริ่มหยิบไพ่จากกำแพงด้านใด ตัวที่เท่าไรในเกมนั้นๆ

Doraeminmon103.jpg

ตำแหน่ง[แก้]

  1. ตำแหน่งของผู้เล่นถูกกำหนดโดยทิศให้นับทวนเข็มนาฬิกาเริ่มที่ ทิศตะวันออก, ทิศใต้, ทิศตะวันตกและทิศเหนือ
    Doraeminmon104.jpg
  2. เมื่อผู้เล่นใดๆ คนหนึ่งชนะ (ไม่นับเจ้ามือ) ผู้เล่นในตำแหน่งทิศที่ต่ำกว่าได้เป็นเจ้ามือต่อไป และตำแหน่งทิศก็จะเปลี่ยนไป
    Doraeminmon105.jpg
  3. ถ้าเจ้ามือเป็นฝ่ายชนะตำแหน่งยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง

รอบและการเปลี่ยนรอบ[แก้]

การเริ่มเล่นทุกครั้งจะอยู่ที่ทิศตะวันออกเล่นให้ครบ 4 คนแล้วจึงเปลี่ยนทิศถัดไปเรื่อยๆ อย่างนี้จนถึงทิศเหนือครบสี่คนเป็นอันจบเกม (ตำแหน่งทิศของผู้เล่นก็จะเปลี่ยนไปด้วย) ไพ่นกกระจอกในการเล่นแต่ละรอบอาจจะมากกว่า 4 รอบก็ได้หากผู้ชนะเป็นคนเดิม

การเริ่มเกม[แก้]

ตั้งกำแพงเรียบร้อยแล้วให้ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งทอยลูกเต๋า (โยนในกำแพง) เพื่อกำหนดตำแหน่งเริ่มเกม

  • หมายเหตุ ในที่นี้ผลหน้าลูกเต๋าคือ 4
  1. กำหนดตำแหน่งเริ่มเกม สุ่มตำแหน่งเริ่มเล่นโดยการทอยลูกเต๋าแล้วนับทวนเข็มนาฬิกา เมื่อนับแล้วไปลงที่ใครคนนั้นก็เป็นทิศตะวันออก
    (a) เป็นคนทอยลูกเต๋า สมมุติว่าผลออกมาคือ 4 ก็ให้เริ่มนับทวนเข็มนาฬิกาจากตำแหน่งที่ (a) นั่งไป
    ดังนั้นเราควรจะเริ่มทิศตะวันออกที่ตำแหน่งดังต่อไปนี้
  2. การหยิบไพ่ ขึ้นอยู่กับตัวเลขบนหน้าลูกเต๋าในที่นี้สมมุติลูกเต๋าออกมาเป็น 4
    ต้องนับบล็อกเข้าไปตามผลหน้าลูกเต๋า (นั่นก็คือ 4) ab ที่เห็นในภาพคือจำนวนบล็อกที่ผู้เล่นต้องหยิบไป (2 บล็อก มีไพ่ 4 ตัว)
    1. นับทวนเข็มนาฬิกาเริ่มจากเจ้ามือไป เมื่อไปจบที่หน้าใครก็แสดงว่ากำแพงทิศนั้นจะเป็นกำแพงที่จะหยิบไพ่ (ในที่นี้คือทิศเหนือ)
    2. ให้นับตัวไพ่ไปตามตัวเลขบนหน้าลูกเต๋าตามเข็มนาฬิกา (ผลลูกเต๋าออกมา 4 ก็นับไป 4 แล้วจึงจะเริ่มหยิบตัวที่ 5)
    3. เจ้ามือ (ผู้เล่นทิศตะวันออก) จะเป็นคนหยิบไพ่ก่อน ให้หยิบสี่ตัว (ตัว ab จะได้ไพ่ 4 ตัวเพราะมีด้านบนและด้านล่าง) จากนั้นผู้เล่นทิศใต้, ตะวันตก และทิศเหนือจะได้เป็นผู้หยิบไพ่เรียงตามลำดับ ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนผู้เล่นทุกคนได้ไพ่ครบ 12 ตัว
    4. เจ้ามือเริ่มหยิบไพ่ 1 ตัว และหยิบไพ่ข้ามบล็อกไป 1 ตัว ดังภาพ ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ หยิบไปคนละ 1 ตัว (เวลาเล่นผู้เล่นทุกคนจะมีไพ่อยู่ในมือทั้งหมด 13 ตัว ส่วนตัวที่ 14 ของเจ้ามือที่หยิบไพ่ขึ้นมานั้นเป็นตัวจั่ว)
      ภาพแสดงการหยิบไพ่ตัวที่ 13 และการจั่วไพ่ของผู้เล่นทิศตะวันออก
    5. เจ้ามือมีไพ่อยู่ในมือทั้งหมด 14 ตัว ผู้เล่นคนอื่นๆ มีทั้งหมด 13 ตัว
      ภาพแสดงจำนวนไพ่ในมือของแต่ละผู้เล่น
    6. ในกรณีที่ผลหน้าลูกเต๋าออกมาเป็น 17
      1. ให้เจ้ามือนับทวนเข็มนาฬิกาโดยเริ่มนับที่ตำแหน่งทิศตะวันออก เราจะเห็นได้ว่ามันจะเป็นกำแพงที่หน้าทิศตะวันออก
      2. ให้นับจากด้านขวาของกำแพงที่ 17 นับตัวไพ่ไป 17 ตัว จะเห็นว่ามันหมดกำแพงที่ 17 ไม่ต้องตกใจก็ให้หยิบไพ่ตัวถัดไปจากกำแพงถัดไปได้เลย
        ภาพแสดงการหยิบไพ่โดยที่ผลหน้าลูกเต๋าออกมาเป็น 17
  3. เจ้ามือทิ้งไพ่ลงมา 1 ตัวซึ่งเป็นไพ่ที่ไม่ต้องการ จากนั้นผู้เล่นตำแหน่งทิศถัดไปจะจั่วไพ่ขึ้นมาไว้ในมือและทิ้งไพ่ที่ไม่ต้องการออกไป (ให้ผู้เล่นทุกคนทิ้งไพ่ที่ไม่ต้องการให้อยู่ในกรอบกำแพง)
    ภาพแสดงการทิ้งไพ่
  4. ไพ่ที่ไม่ต้องการของผู้อื่นอาจจะมีประโยชน์กับเรา ดังนั้นควรดูให้ดีๆ ว่าเราคอยไพ่อะไรอยู่และเขาทิ้งไพ่อะไรลงมา
    1. ตะโกน “เฉ่า” ออกไปหากผู้เล่นในตำแหน่งที่สูงกว่าเรา(ผู้เล่นที่นั่งทางซ้ายมือของเรา)ทิ้งไพ่ที่เราคอยอยู่และเราต้องเปิดไพ่ที่เรา “เฉ่า” ขึ้นมาด้วย (ดูคำอธิบายเพิ่มที่ ชนะอย่างไร: “เฉ่า”)
    2. ตะโกน “ผ่อง” ออกไปหากผู้เล่นใดๆ ทิ้งไพ่ที่เราคอยอยู่และเราต้องเปิดไพ่ที่เรา “ผ่อง” ด้วย (ดูคำอธิบายเพิ่มที่ ชนะอย่างไร: “ผ่อง”)
    3. ตะโกน “กั่ง” ออกไปหากผู้เล่นใด ทิ้งไพ่ที่เรามีอยู่ในมือแล้ว 3ตัว หรือเราจั่วตัวที่ 4 ขึ้นมาได้ และเราจะได้หยิบไพ่ตัวพิเศษ (ดูคำอธิบายเพิ่มที่ ชนะอย่างไร: “กั่ง”)
    4. หากผู้เล่นใดๆ ทิ้งไพ่ลงมาและมีคนร้อง “เหมาะเจี๊ยะ” ถือว่าจบเกม ผู้เล่นอื่นๆ ที่จะ “เฉ่า”, “ผ่อง” หรือ “กั่ง” ไม่มีสิทธิในการเก็บไพ่ตัวนั้นแล้ว ผู้ชนะจะต้องเปิดไพ่ให้ทุกคนดูด้วย และผู้เล่นคนอื่นๆ ก็จะเปิดไพ่เช่นกัน
    5. “กั่ง” มีสิทธิในการเก็บไพ่มากกว่า “เฉ่า” และ “ผ่อง” มีสิทธิในการเก็บไพ่มากกว่า “เฉ่า” (ดูคำอธิบายเพิ่มที่ ชนะอย่างไร)
  5. ถ้าไพ่ที่ทิ้งลงมามันไม่มีประโยชน์สำหรับใครก็ให้ผู้เล่นคนถัดไปจั่วไพ่ขึ้นมาจากกำแพงขึ้นมา และทิ้งไพ่ที่ไม่ต้องการออกไป
  6. เกมจะจบก็ต่อเมื่อมีคนร้อง “เหมาะเจี๊ยะ” ถ้าเจ้ามือเป็นฝ่ายชนะตำแหน่งยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าผู้เล่นคนอื่นเป็นฝ่ายชนะผู้เล่นในตำแหน่งทิศที่ต่ำกว่าจะได้เป็นเจ้ามือถัดไป และเป็นผู้ทอยลูกเต๋าเพื่อสุ่มตำแหน่งกำแพงต่อไป
  7. เมื่อกำแพงไพ่เหลือ 14 ตัว (7 บล็อก) เกมจะเริ่มใหม่อีกครั้งที่เจ้ามือคนเดิมและตำแหน่งทิศเดิม

การชนะ[แก้]

  1. ในการชนะทุกครั้งต้องมีคู่ “หนั่ง” คือไพ่ที่หน้าตาเหมือนกันในมือ 2 ตัว และรวมไพ่ที่เรามีจากการ “เชา” “ผ่อง” และ/หรือ “กั่ง” ยกเว้นกรณีการชนะในกรณีพิเศษ (ดูเพิ่มที่ ชนะอย่างไร: “หนั่ง”, ประเภทในการชนะในกรณีพิเศษ)
  2. ถ้าผู้เล่นสองคนต้องการไพ่ตัวเดียวกันในการชนะ ผู้เล่นในตำแหน่งที่ต่ำกว่าสิทธิก่อน (หมายถึง ผู้เล่นที่นั่งในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดในการเวียนรอบ)

มือตาย[แก้]

ถ้าผู้เล่นพบว่าไพ่ในมือตนเองมีการเรียงลำดับที่ต่างกันมากตัดสินใจยากในการทิ้งไพ่ในกรณีนี้เรียกมือตาย ผู้เล่นจะไม่สามารถชนะในเกมนี้ได้และต้องรอเล่นเกมนี้ให้จบ

คะแนนพื้นฐาน[แก้]

  1. ผู้เล่นแต่ละคนจะมีชิปเท่าๆ กัน ส่วนแต่ละชิบมีค่าเท่าไรขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้เล่นเอง
  2. ผู้เล่นที่ทิ้งไพ่ให้คนอื่นชนะต้องจ่ายเป็นสองเท่า
  3. ถ้าผู้เล่นสามารถชนะได้ด้วยการจั่วไพ่ขึ้นมาเอง ผู้เล่นทุกคนต้องจ่ายให้สองเท่า

การชนะแต่ละประเภท[แก้]

การชนะในการเล่นไพ่นกกระจอกนี้จะมีผู้ชนะเพียง 1 คน เท่านั้น ยกเว้นในบางกรณีที่ไม่มีผู้ชนะให้เริ่มเกมใหม่ในตำแหน่งเดิม

ผู้เล่นที่ทิ้งไพ่ให้คนอื่นชนะจะต้องจ่ายเป็นสองเท่า หากผู้เล่นสามารถชนะได้ด้วยการจั่วไพ่ขึ้นมาเอง ผู้เล่นทุกคนต้องจ่ายเป็นสองเท่าให้แก่ผู้ชนะ ในกรณีที่มีผุ้ชนะ 2 คน ให้ผู้เล่นในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดในการเวียนรอบเป็นฝ่ายชนะ (ดูที่คะแนนพื้นฐาน)

เนื่องด้วยบทความนี้ไม่สนับสนุนให้เล่นเชิงการเล่นพนัน ดังนั้นจึงไม่ขอบอกว่าวิธีชนะแต่ละวิธีนั้นจะได้มากน้อยเท่าไร

  • สังเกต เวลาชนะผู้เล่นจะต้องมีไพ่อยู่ในมือทั้งหมด 14 ตัว ยกเว้นในกรณีที่ผุ้เล่นมีการ "กั่ง"

ไค่วู่[แก้]

ไค่วู่ เป็นการชนะด้วย “ผ่อง”, “เฉ่า” หรือ “กั่ง” จากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้และที่สำคัญต้องมีคู่ “หนั่ง” ด้วย

MJt1.pngMJt1.pngMJt1.pngMJw4.pngMJw5.pngMJw6.pngMJs4.pngMJs5.pngMJs6.pngMJt2.pngMJt3.pngMJt4.pngMJs3.pngMJs3.png

พิงวู่[แก้]

พิงวู่ เป็นการชนะด้วย “เฉ่า” อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งจะ “เฉ่า” จากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ และห้ามลืมคู่ “หนั่ง”

MJw1.pngMJw1.pngMJt3.pngMJt4.pngMJt5.pngMJs2.pngMJs3.pngMJs4.pngMJs7.pngMJs8.pngMJs9.pngMJw4.pngMJw5.pngMJw6.png

ยัดฟาน[แก้]

  • ชนะด้วย “เฉ่า”, “ผ่อง” หรือ “กั่ง” จากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ แต่ต้องมี “ผ่อง” และ/หรือ “กั่ง” จากชุดมังกรด้วยจะเป็นพันธุ์อะไรก็ได้ 1 พันธุ์ หรือไพ่ทิศซึ่งต้องถูกต้องกับรอบทิศหรือถูกต้องจากทิศตำแหน่งที่นั่งของผู้ชนะ

MJw1.pngMJw1.pngMJt3.pngMJt4.pngMJt5.pngMJs2.pngMJs3.pngMJs4.pngMJs7.pngMJs8.pngMJs9.pngMJd1.pngMJd1.pngMJd1.png

  1. เหมือนกับ ไค่วู่ แต่จะแตกต่างตรงที่ผู้ชนะนั้นต้องจั่วไพ่ขึ้นมาได้เองถึงจะเป็น ยัดฟาน

เหลียงฟาน[แก้]

  • “เฉ่า”, “ผ่อง” หรือ “กั่ง” จากชุดไพ่ต่างๆ มีคู่ “หนั่ง” และต้องมี “ผ่อง” และ/หรือ “กั่ง” จากชุดมังกรด้วย 2 พันธุ์ หรือไพ่ทิศที่ต้องถูกต้องจากรอบทิศหรือถูกต้องจากทิศตำแหน่งที่นั่งของผู้ชนะ

MJw1.pngMJw1.pngMJt3.pngMJt4.pngMJt5.pngMJs2.pngMJs3.pngMJs4.pngMJd3.pngMJd3.pngMJd3.pngMJd1.pngMJd1.pngMJd1.png

  • เหมือนกับ ยัดฟาน แต่ผู้ชนะต้องจั่วไพ่ได้เองถึงจะเป็น เหลียงฟาน
  • เหมือนกับ พิงวู่ เพียงแต่ผู้ชนะต้องจั่วไพ่ได้เองถึงจะนับว่าเป็น เหลียงฟาน

ซัมฟาน[แก้]

  • ชนะด้วยการ “เฉ่า”, “ผ่อง หรือ “กั่ง” จากชุดไพ่เดียวกัน และคู่ “หนั่ง” ต้องมาจากชุดมังกร 1 พันธุ์ หรือไพ่ทิศที่ถูกต้องจากรอบทิศหรือถูกต้องจากทิศตำแหน่งผู้ชนะ

MJs2.pngMJs3.pngMJs4.pngMJs3.pngMJs4.pngMJs5.pngMJs6.pngMJs7.pngMJs8.pngMJs9.pngMJs9.pngMJs9.pngMJd1.pngMJd1.png

  • เป็นการชนะด้วยการ “ผ่อง” และ/หรือ “กั่ง” จากไพ่ใดๆ ก็ได้ เป็นจำนวน 3 กลุ่ม และ “ผ่อง” หรือ “เฉ่า” ก็ได้จำนวนอีก 1 กลุ่ม ห้ามลืมคู่ “หนั่ง” จากไพ่ชุดใดๆ ก็ได้ (หากเป็นการ “ผ่อง” และ/หรือ “กั่ง” จากไพ่ชุดมังกรทั้ง 3 พันธุ์, “ผ่อง” หรือ “เฉ่า” ก็ได้อีกจำนวน 1 กลุ่ม และคู่ “หนั่ง” เป็นอะไรก็ได้ ให้ไปดูที่ วิธีการชนะในกรณีพิเศษไทซัมเหยิน)

เซฟาน[แก้]

เหมือนกับ ซัมฟาน นอกจากผู้ชนะต้องจั่วไพ่ขึ้นมาได้เองถึงจะเป็น เซฟาน

งี่ฟาน[แก้]

  • ผู้เล่นชนะด้วยการ “เฉ่า”, “ผ่อง” หรือ “กั่ง” และคู่ “หนั่ง” มาจากไพ่ชุดเดียวกันทั้งหมด และสามารถรวม 2 กลุ่ม จากการ “ผ่อง” และ/หรือ “กั่ง” จากชุดมังกร 2 พันธุ์ หรือไพ่ทิศซึ่งจะต้องถูกต้องจากรอบทิศและทิศตำแหน่งที่นั่งของผู้ชนะ

MJs2.pngMJs3.pngMJs4.pngMJs3.pngMJs4.pngMJs5.pngMJs9.pngMJs9.pngMJd3.pngMJd3.pngMJd3.pngMJd1.pngMJd1.pngMJd1.png

  • ชนะด้วยการ “เฉ่า”, “ผ่อง” หรือ “กั่ง” และคู่ “หนั่ง” มาจากไพ่ชุดเดียวกันทั้งหมด

ประเภทการชนะในกรณีพิเศษ[แก้]

ผู้ที่เล่นไพ่นกกระจอกและสามารถชนะผู้อื่นได้ 4 ประเภทต่อไปนี้ถือว่าเป็นบุญของนักเล่นมาก เพราะการชนะผู้อื่นด้วย 4 ประเภทนี้ถือได้ว่ามีโอกาสน้อยมาก

ซับซัมหยิว[แก้]

ซับซัมหยิว จะชนะด้วยประเภทนี้จะต้องมีหนึ่งกับเก้าในแต่ละชุด (1,9 ชุดท้ง 1,9 ชุดเสาะ 1,9 ชุดบ่วง) มังกรสามพันธุ์ ทิศทั้งสี่ และในประเภทนี้คู่ “หนั่ง” เป็นตัวอะไรก็ได้ที่ในมือเรามี

MJf1.pngMJf1.pngMJf2.pngMJf3.pngMJf4.pngMJd1.pngMJd2.pngMJd3.pngMJt1.pngMJt9.pngMJw1.pngMJw9.pngMJs1.pngMJs9.png

เชียงหยิว[แก้]

เชียงหยิว ส่วนมากเป็นการชนะด้วย “ผ่อง” และ/หรือ “กั่ง” หนึ่งและเก้าจากทุกชุด และต้องมีคู่ “หนั่ง” ด้วยซึ่งต้องเป็นหนึ่งหรือเก้าเท่านั้น

MJs1.pngMJs1.pngMJs1.pngMJs9.pngMJs9.pngMJs9.pngMJw9.pngMJw9.pngMJw9.pngMJt9.pngMJt9.pngMJt9.pngMJt1.pngMJt1.png

ไทซัมเหยิน[แก้]

ไทซัมเหยิน ชนะด้วยการ “ผ่อง” และ/หรือ “กั่ง” ชุดมังกรทั้งสามพันธุ์ มีคู่ “หนั่ง” ส่วนอีกสามตัวที่เหลือจะเป็นการ “ผ่อง/ กั่ง/ เฉ่า” ก็ได้

MJd1.pngMJd1.pngMJd1.pngMJd2.pngMJd2.pngMJd2.pngMJd3.pngMJd3.pngMJd3.pngMJw5.pngMJw6.pngMJw7.pngMJt1.pngMJt1.png

ไทเซเห[แก้]

ไทเซเห เป็นการชนะด้วยชุดทิศซึ่งผู้เล่นสามารถ “ผ่อง” และ/หรือ “กั่ง” ก็ได้ และที่สำคัญต้องมีคู่ “หนั่ง” ด้วยจะเป็นอะไรก็ได้

MJf1.pngMJf1.pngMJf1.pngMJf2.pngMJf2.pngMJf2.pngMJf3.pngMJf3.pngMJf3.pngMJf4.pngMJf4.pngMJf4.pngMJw3.pngMJw3.png


青山 剛昌


โกโช อาโอยามะ (ญี่ปุ่น青山 剛昌 โรมาจิ: Aoyama Gōshō; เกิด 21 มิถุนายน พ.ศ. 2506) ชื่อเกิด โยชิมาซะ อาโอยามะ (ญี่ปุ่น青山 剛昌 โรมาจิ: Aoyama Yoshimasa) เป็นนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่น ที่มีชื่อเสียงจากการ์ตูนเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ออกแบบตัวละครที่เป็นมนุษย์ให้แก่อนิเมะเรื่อง แฮมทาโร่ แก๊งจิ๋วผจญภัย อีกด้วย

สมัยเด็ก[แก้]

อาโอยามะเกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2506 เมืองไดเอ (ปัจจุบันคือเมืองโฮกูอิ[1] จังหวัดทตโตริ ประเทศญี่ปุ่น เขาฉายแววความสามารถในการวาดภาพตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยรูป Yukiai War ที่เขาวาดชนะการแข่งขันและได้นำออกแสดงที่ห้างสรรพสินค้าทตโตริไดมารุ[2]เขาจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนอิเกอูอิในยูระ และสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาในคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิปปอน

ในช่วงฤดูหนาว พ.ศ. 2529 เขาเข้าร่วมการประกวดการ์ตูนสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ซึ่งเขาได้รับรางวัลชนะเลิศ นี่ยังเป็นก้าวแรกของเขาที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาในฐานะนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่นและนักเขียน[2]

อาชีพนักวาดการ์ตูน[แก้]

ผลงานชิ้นแรกของอาโอยามะคือ รอหน่อยนะ (ญี่ปุ่นちょっとまってて โรมาจิ: Chotto Matte) ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ โชเน็นซันเดย์ ในช่วงฤดูหนาว พ.ศ. 2530 และต่อมา จอมโจรอัจฉริยะ ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของอาโอยามะ ก็ได้ลงพิมพ์ลงในนิตยสารเดียวกัน[2]

ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 อาโอยามะออกผลงานอีกชิ้นที่ชื่อ ไยบะ และมีมังงะแบบรวมเล่มออกมา 24 เล่ม ต่อมาเขาเปลี่ยนไปออกมังงะประเภทจบในเรื่อง (ญี่ปุ่น単行本 โรมาจิ: Tankōbon) เช่น ไม้สี่จอมหวดรวมเรื่องสั้นของโกโช อาโอยามะ, และ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน[2]

รางวัล[แก้]

ในฐานะนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่น อาโอยามะได้รับรางวัล 2 รางวัล ใน พ.ศ. 2535 เขาชนะรางวัล Shogakukan Manga Award สำหรับการ์ตูนแนวโชเน็งจากเรื่อง ไยบะ[2] ต่อมาในปี พ.ศ. 2544 เขาก็ได้รับรางวัลเดิมจากเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน[3]

นอกจากนี้ที่บ้านเกิดของเขาที่เมืองโฮกูอิยังมีการจัดทำโครงการฟื้นฟูเมืองให้มีชีวิตชีวา (Machi Okoshi) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผลงานมังงะของเขาและชาวเมือง ผลงานที่มาจากโครงการนี้ได้แก่สะพานโคนันข้ามแม่น้ำยูระ และรูปปั้นโคนันในเมือง ซึ่งผลงานนี้เป็นการแสดงความชื่นชม เอโดงาวะ โคนัน ตัวละครที่มีชื่อเสียงที่สุดในเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน[4] ต่อมาเมื่อ 18 มีนาคม พ.ศ. 2550 โรงงานมังงะของโกโช อาโอยามะ (Gosho Aoyama Manga Factory) พิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จในอาชีพในฐานะนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่นก็ได้เปิดขึ้นที่เมืองโฮกูอิ[1][5]

ชีวิตส่วนตัว[แก้]

อาโอยามะสมรสกับอิซูมิ อาราอิ (มินามิ ทากายามะ สมาชิกวง TWO-MIX และผู้พากย์เสียงของโคนันในอนิเมะ) เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2548[6] ต่อมาทั้งคู่หย่าเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550[7]

ผลงาน[แก้]

ผลงานที่เขียนเอง[แก้]

ชื่อเรื่องภาษาไทย[8]ชื่ออื่น[9]ชื่อภาษาญี่ปุ่นปีเนื้อเรื่อง
รอฉันด้วยนะちょっとまってて (Chotto Mattete)พ.ศ. 2530มังงะเรื่องแรกของอาโอยามะ ลงในนิตยสารโชเน็นซันเดย์ กล่าวถึงอัจฉริยะหนุ่มชื่อทาคาอิ ยูทากะ (Takai Yutaka) ที่มีแฟนสาวอายุมากกว่าตน 2 ปี เพื่อแก้ปัญหาอายุห่างกัน ยูทากะจึงประดิษฐ์เป้แบกหลังที่เป็นไทม์แมชชีน เพื่อย้อนอดีตตัวเขาเองกลับไป 2 ปี แต่เพราะแฟนสาวของเขาไม่อยากให้เขาลำบาก แฟนสาวของเขาจึงแอบนำเป้ไปใช้และกลายเป็นผู้ที่ถูกส่งไปยังอนาคต 2 ปีแทน มังงะนี้ได้เอาไปรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นของโกโชะด้วย
ไยบะYaibaพ.ศ. 2531–2536มังงะ 24 เล่มจบเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าหนูซามูไร คุโระงาเนะ ไยบะ (ญี่ปุ่น鉄刃 โรมาจิ: Kurogane Yaiba) ซึ่งต่อมานำไปสร้างเป็นอนิเมะ 52 ตอนจบ ปัจจุบัน บางตอนยังมีอยู่ในการ์ตูน ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน
เธิร์ดเบอร์ 4 (โยบังเธิร์ด)ไม้สี่จอมหวด, 4 บังเทิร์ด4番サード (Yonban Sādo)พ.ศ. 2536มังงะเล่มเดียวจบเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนากาชิมะ ชิเกโอะ (ญี่ปุ่น長嶋茂雄 โรมาจิ: Nagashima Shigeo) ผู้เล่นเบสบอลธรรมดา ๆ ในโรงเรียนมัธยม วันหนึ่งเขาไปซื้อไม้เบสบอลจากร้านร้านหนึ่งมา ต่อมาปรากฏว่าไม้เบสบอลนั้นจะทำให้ผู้ตีสามารถตีได้ทุกลูกที่ขว้างมา แต่ทุกครั้งที่เขาตี เขาต้องเอาเงินใส่ไว้ในกระเป๋าข้างที่เขาตี
จอมโจรอัจฉริยะまじっく快斗 (Majikku Kaito)พ.ศ. 2531–2550มังงะ 4 เล่มเกี่ยวกับการผจญภัยของ จอมโจรคิด ผู้ใช้ทริกและการปลอมตัวทุกครั้งที่ขโมยของ มังงะสามเล่มแรกของเรื่องนี้ออกในช่วง พ.ศ. 2530–2537 และเล่มที่ 4 ออกใน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 (เดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2551 ในประเทศไทย) และถึงแม้ว่าการ์ตูนเรื่องนี้จะยังไม่มีการเขียนต่อ ณ ขณะนี้ แต่จอมโจรคิดก็ไปปรากฏตัวเป็นระยะ ๆ ใน ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน และบางตอนของจอมโจรอัจฉริยะยังสร้างเป็นโอวีเอแยกต่างหาก และตอนพิเศษแทรกในเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน (ตอนที่ 219)
รวมเรื่องสั้นของโกโช อาโอยามะ[10]
พรจากซากุระプレイ イット アゲイン (Play It Again)พ.ศ. 2531มังงะเกี่ยวกับปู่คนหนึ่งที่แพ้การดวลดาบกับหลานสาว ปู่คนนั้นจึงไปพูดกับต้นซากุระว่าอยากกลับไปเป็นหนุ่มสาวสักครั้ง แล้วปู่คนนั้นก็กลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้งตามที่ฝันไว้จริง ๆ
เอ็กซ์คาลิเบอร์ ไม้เบสบอลวิเศษ (หรือ ไม้เบสบอลวิเศษ)えくすかりばぁ (Excalibur)พ.ศ. 2531
ซานตาคลอสฤดูร้อน夏のサンタクロース (Natsu no Santa Claus)พ.ศ. 2530มังงะเกี่ยวกับเด็กหนุ่ม ฮารา เคสุเกะ ที่บังเอิญทำให้อาวุธนิวเคลียร์ทำงาน เพื่อทำให้ฮาระสามารถหยุดอาวุธนั้นได้ ฮาระจึงได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งการนำซานตาคลอส มาอยู่ในฤดูร้อนก็ตาม
นักสืบโจจิ กับปฏิบัติการจิ๋วจิ๋ว (หรือ นักสืบพริกขี้หนู)探偵ジョージのミニミニ大作戦 (Tantei Jooji no minimini daisakusen)พ.ศ. 2531
ผีเสื้อแดงโบยบินกับปริศนาหนึ่งทุ่ม 19 นาที Show (หรือ ผีเสื้อแดง)サンデー19show さまよえる赤い蝶 (Shōnen Sunday 19 (tō-ku) show samayoeru akai chō)พ.ศ. 2531
ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน และผลงานที่เกี่ยวข้อง名探偵コナン (Meitantei Conan)พ.ศ. 2539–ปัจจุบันมังงะที่กล่าวถึงยอดนักสืบ คุโด้ ชินอิจิ ที่วันหนึ่งกลายร่างเป็นเด็ก ระหว่างที่หาทางกลับร่างเดิมเขาก็ได้พบกับคดีต่าง ๆ มากมาย ผลงานนี้เป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดของอาโอยามะ
Tell Me A Lie~私にウソをついて~ (~Watashi ni Uso wo Tsuite~)พ.ศ. 2550มังงะหนึ่งช็อตที่กล่าวถึงเด็กหญิงชื่ออาราอิ เทรุมิ (ญี่ปุ่น新井輝海 โรมาจิ: Arai Terumi) ที่สามารถอ่านใจคนได้เพียงแค่มองเข้าไปในสายตา

Leukemia

    รคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย (Leukemia) เป็นโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในไขกระดูก เกิดจากมีเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนเติบโตมากผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ การแบ่งตัวอย่างไม่หยุดของเซลล์เหล่านี้ ได้ไปรบกวนการสร้างเม็ดเลือดปกติชนิดอื่นของไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวปกติ และเกล็ดเลือดลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจาง มีเลือดออกผิดปกติ มีจ้ำเลือดตามร่างกาย ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้เซลล์มะเร็งยังสามารถไปสะสมตามอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ทำให้ผู้ป่วยมีต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้ามโต

มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันจัดเป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงสูง พบได้ทุกเพศทุกวัย พบมากขึ้นในผู้สูงอายุ และเป็น 1 ใน 10 โรคมะเร็งที่พบบ่อยในประเทศไทย



ไข้หวัดใหญ่สเปน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปยังการนำทางไปยังการค้นหา
ไข้หวัดใหญ่สเปน
Emergency hospital during Influenza epidemic, Camp Funston, Kansas - NCP 1603.jpg
ทหารจากฟอร์ตไรลีย์รัฐแคนซัส ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สเปนที่แผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลที่แคมป์ฟันสตัน
โรคไข้หวัดใหญ่
สถานที่ทั่วโลก
ระบาดที่แรกไม่ทราบ
รายงานการพบโรคครั้งแรกสหรัฐ
วันที่มกราคม ค.ศ. 1918 – ธันวาคม ค.ศ. 1920
ยืนยันป่วยประมาณ 500 ล้านคน[1]
เสียชีวิตประมาณ 17–50 ล้านคน

การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ ค.ศ. 1918 (มกราคม ค.ศ. 1918 – ธันวาคม ค.ศ. 1920 หรือคำรู้จักว่าไข้หวัดใหญ่สเปน) เป็นการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ที่มีผู้เสียชีวิตมากผิดปกติ โดยเป็นโรคระบาดทั่วครั้งแรกจากสองครั้งที่เกี่ยวข้องกับไวรัสไข้หวัดใหญ่เอช1เอ็น1[2] มีผู้ได้รับผลกระทบ 500 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งรวมหมู่เกาะแปซิฟิกห่างไกลและอาร์กติก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 40 ล้านคน ทำให้เป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ[1][3][4][5]

การระบาดของไข้หวัดใหญ่ส่วนมากทำให้เยาวชน ผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่อ่อนแออยู่แล้วเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มอื่น ในทางตรงข้าม การระบาดทั่ว ค.ศ. 1918 จะทำให้ผู้ใหญ่ตอนต้นที่เดิมสุขภาพดีเสียชีวิตมาก การวิจัยสมัยใหม่โดยใช้ไวรัสที่นำมาจากศพของผู้เสียชีวิตที่ถูกแช่แข็ง สรุปว่าไวรัสทำให้เสียชีวิตได้จากไซโทไคน์สตอร์ม (คือ ปฏิกิริยามากเกินของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย) ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของผู้ใหญ่ตอนต้นทำร้ายร่างกาย ขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าของเด็กและผู้ใหญ่วัยกลางคนทำให้มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าในกลุ่มเหล่านี้[6]

ข้อมูลประวัติศาสตร์และวิทยาการระบาดไม่เพียงพอระบุแหล่งกำเนิดทางภูมิศาสตร์ของการระบาดทั่วนี้[1] การระบาดนี้เกี่ยวพันในการระบาดของเอ็นเซฟาไลติส ลีทาร์จิกา (encephalitis lethargica) ในคริสต์ทศวรรษ 1920[7]

นิรุกติศาสตร์[แก้]

ถึงอย่างไรก็ตาม แม้จะมีชื่อไข้หวัดใหญ่สเปน แต่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์และการระบาดวิทยาไม่สามารถระบุแหล่งกำเนิดทางภูมิศาสตร์ของไข้หวัดใหญ่สเปนได้[1] ที่มาของชื่อ "ไข้ใหญ่หวัดสเปน" เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคระบาดจากฝรั่งเศสไปยังสเปนในเดือนพฤศจิกายน 1918[8][9] ในเวลานั้นสเปนไม่ได้เข้าร่วมสงครามยังคงเป็นกลางไว้ และไม่เคยมีการตรวจพิจารณาสื่อในช่วงสงคราม[10][11] หนังสือพิมพ์จึงมีอิสระที่จะรายงานผลกระทบของโรคระบาด เช่น กษัตริย์อัลฟองโซที่สิบสามป่วยหนัก และเรื่องราวการระบาดอย่างกว้างขวาง ข่าวเหล่านี้สร้างความความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสเปนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง[12]

เกือบหนึ่งศตวรรษหลังจากไข้หวัดใหญ่สเปนระบาดในปี 1918–1920 องค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกร้องให้นักวิทยาศาสตร์ หน่วยงานระดับชาติ และสื่อต่าง ๆ ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ดีในการตั้งชื่อโรคติดเชื้อในมนุษย์ชนิดใหม่ เพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่อประเทศชาติ เศรษฐกิจ และผู้คน[13][14] คำศัพท์สมัยใหม่ที่ใช้เรียกไวรัสนี้ ได้แก่ "การระบาดทั่วของโรคไข้หวัดใหญ่ปี 1918 (1918 influenza pandemic, 1918 flu pandemic)" หรือในรูปแบบต่าง ๆ[15][16][17]

ประวัติ[แก้]

สมมติฐานเกี่ยวกับแหล่งที่มา[แก้]

สหราชอาณาจักร[แก้]

ทฤษฎีของนักวิจัยหลายคนเชื่อว่ากองทหารสหราชอาณาจักรและโรงพยาบาลสนามในเมืองเอตาปล์ (Étaples) ในฝรั่งเศสเป็นจุดกำเนิดของไข้หวัดใหญ่สเปน ทีมนักวิจัยอังกฤษนำโดยจอห์น ออกซ์ฟอร์ด (John Oxford) นักวิทยาไวรัสได้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1999[18] ในปลายปี ค.ศ. 1917 นักพยาธิวิทยากองทัพรายงานว่ามีโรคใหม่ที่มีอัตราการตายสูงซึ่งต่อมาพวกเขาได้ยืนยันว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ค่ายและโรงพยาบาลที่แออัดเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการแพร่กระจายของไวรัสระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีด้วยเคมีและจากการโจมตีอื่นๆในสงครามนับพันราย และมีทหารกว่า 100,000 คนผ่านค่ายทุกวัน นอกจากนี้ ยังเป็นบ้านของหมูและสัตว์ปีกซึ่งถูกซื้อเข้ามาเป็นประจำเพื่อเป็นเสบียงอาหารจากหมู่บ้านโดยรอบ ออกซ์ฟอร์ดและทีมของเขาตั้งสมมติฐานว่าไวรัสมีต้นกำเนิดจากนก เกิดการกลายพันธุ์และแพร่ไปยังสุกรที่อาศัยอยู่ใกล้กัน[19][20]

รายงานที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2016 ในวารสารสมาคมการแพทย์จีน (Chinese Medical Association) พบหลักฐานว่า 1918 ไวรัส มีการแพร่กระจายในกองทัพยุโรปเป็นเวลาหลายเดือนและอาจเป็นปีก่อนที่จะมีการระบาดใหญ่ในปี ค.ศ. 1918[21]

ประเทศสหรัฐอเมริกา[แก้]

ในปี ค.ศ. 2018 การศึกษาสไลด์เนื้อเยื่อและรายงานทางการแพทย์ที่นำโดยศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาวิวัฒนาการ ไมเคิล โวโรเบย์ (Michael Worobey) พบว่ามีหลักฐานการเกิดโรคจากแคนซัส เนื่องจากมีผู้ป่วยและมีผู้เสียชีวิตน้อยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในนิวยอร์กซิตี้ในช่วงเวลาเดียวกัน จากการศึกษาผ่านวงศ์วานวิวัฒนาการยังพบหลักฐานว่าเชื้อไวรัสน่าจะมีต้นกำเนิดในอเมริกาเหนือแม้ว่าจะไม่ได้ข้อสรุป นอกจากนี้ ฮีแมกกูตินิน ไกลโคโปรตีน (haemagglutinin glycoproteins) ของไวรัสแสดงว่ามันเกิดและอยู่ไกลไปก่อนปี ค.ศ. 1918 และการศึกษาอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าการรวมตัวของยีนส์ของไวรัส H1N1 มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นราว ๆ ปี ค.ศ. 1915[22]

ประเทศจีน[แก้]

หนึ่งในไม่กี่ภูมิภาคของโลกที่ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนในปี ค.ศ. 1918 คือสาธารณรัฐจีน ซึ่งอาจจะมีไข้หวัดใหญ่ฤดูเล็กน้อยในปี ค.ศ. 1918 (แม้ว่าจะมีการโต้แย้งเนื่องจากขาดข้อมูลในช่วงยุคสมัยขุนศึกของจีน) ในการศึกษาหลายชิ้นมีเอกสารที่แสดงว่ามีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในจีนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก[23][24][25] สิ่งนี้นำไปสู่การคาดการณ์ว่าไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในปี ค.ศ. 1918 มีต้นกำเนิดในประเทศจีน[26][24][27][28] โดยความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ฤดูที่น้อยและอัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ในประเทศจีนที่ต่ำในปี ค.ศ. 1918 อาจจะอธิบายได้ว่าประชากรชาวจีนมีระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะไวรัสไข้หวัดใหญ่แล้ว[29][26][24]

ในปี ค.ศ. 1993 โคลด แฮนนาว (Claude Hannoun) ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ 1918 สถาบันปาสเตอร์ ยืนยันว่าไวรัสรูปแรกน่าจะมาจากประเทศจีนจากนั้นก็กลายพันธุ์ในสหรัฐอเมริกาใกล้กับบอสตันและจากที่นั่นแพร่กระจายไปยังแบร็สต์ ฝรั่งเศส สมรภูมิยุโรป และทั่วโลกโดยมีทหารและลูกเรือฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้แพร่[30]

ในปี ค.ศ. 2014 นักประวัติศาสตร์สังกัดมหาวิทยาลัยเมมฌมเรียลแห่งนิวฟันด์แลนด์ (Memorial University of Newfoundland) ในเซนต์จอนส์ มาร์ค ฮัมฟรีส์ (Mark Humphries) โต้แย้งว่าการระดมกลุ่มผู้ใช้แรงงานชาวจีนราว 96,000 คน เพื่อทำงานเบื้องหลังแนวรบอังกฤษและฝรั่งเศสอาจเป็นแหล่งที่มาของการระบาด ตามข้อสรุปของเขาในบันทึกที่เพิ่งเปิดเผย เขาพบหลักฐานจดหมายเหตุที่แสดงว่าโรคทางเดินหายใจเกิดขึ้นในภาคเหนือของจีนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 ถูกระบุในปีถัดไปโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สเปน[31][32]

รายงานที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2016 ในวารสารสมาคมการแพทย์จีน (Chinese Medical Association) ไม่พบหลักฐานว่าเชื้อ 1918 ไวรัสถูกนำเข้าสู่ยุโรปผ่านทหารและคนงานจีนและคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพบหลักฐานการหมุนเวียนของไวรัสในยุโรปก่อนการระบาดแทน[21] การศึกษาปี ค.ศ. 2016 ชี้ให้เห็นว่าอัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ที่พบในคนงานจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุโรปต่ำ (ประมาณ 1/1000) หมายความว่าการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สเปนในปี ค.ศ. 1918 นั้นไม่ได้เกิดจากคนงานเหล่านั้น[21]

การศึกษาในปี ค.ศ. 2018 ของสไลด์เนื้อเยื่อและรายงานทางการแพทย์นำโดยศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาวิวัฒนาการ ไมเคิล โวโรเบย์ (Michael Worobey) พบหลักฐานแย้งที่ว่าโรคนี้แพร่กระจายโดยคนงานชาวจีน โดยสังเกตว่าคนงานที่เข้าสู่ยุโรปผ่านเส้นทางอื่น ๆ ไม่ส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของโรค ทำให้พวกเขาไม่ใช่เจ้าบ้าน (host) ต้นกำเนิด[22]

อื่นๆ[แก้]

แฮนนาวพิจารณาสมมติฐานทางเลือกของแหล่งกำเนิด เช่น สเปน, แคนซัส, และแบร็สต์ ซึ่งอาจเป็นไปได้หรือไม่ก็ได้[30] นักวิทยาศาสตร์นโยบาย แอนดรู ไพรซ์ - สมิธ (Andrew Price-Smith) เผยแพร่ข้อมูลจาก หอจดหมายเหตุของออสเตรียที่แสดงว่าไข้หวัดใหญ่เริ่มในประเทศออสเตรียเมื่อต้นปี ค.ศ. 1917[33]

การระบาด[แก้]

ในขณะที่กองทัพสหรัฐทำการส่งกำลังรบจำนวนมากเพื่อไปทำสงครามในยุโรป พวกเขาก็นำไข้หวัดใหญ่สเปนไปด้วย

เมื่อผู้ติดเชื้อจามหรือไออนุภาคไวรัสมากกว่าครึ่งล้านอนุภาคสามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลที่อยู่ใกล้เคียง[34] ค่ายทหารที่หนาแน่นและการเคลื่อนย้ายทหารจำนวนมากในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการระบาดและเพิ่มอัตราการตาย สงครามได้เพิ่มความร้ายแรงของพลังทำลายของไวรัส มีการคาดการณ์ว่าระบบภูมิคุ้มกันโรคของทหารอ่อนแอลงเนื่องจากการขาดสารอาหาร ความเครียดจากการต่อสู้ และการโจมตีทางเคมี[35][36]

ปัจจัยหลักในการเกิดการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วโลกนี้คือการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ระบบการขนส่งสมัยใหม่ทำให้ทหาร กะลาสีและพลเรือนเดินทางได้ง่ายขึ้นและแพร่กระจายโรคได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน[37] อีกประการหนึ่ง คือการโกหกและการปฏิเสธจากรัฐบาลทำให้ประชากรไม่พร้อมที่จะรับมือกับการระบาด[38]

ในสหรัฐอเมริกา โรคนี้ถูกเฝ้าระวังเป็นครั้งแรกในแฮสเค็ลล์เคาท์ตี รัฐแคนซัส ในเดือนมกราคมปี 1918 กระตุ้นให้แพทย์ท้องถิ่นลอร์ลิ่ง มายเนอร์ (Loring Miner) ส่งคำเตือนไปยังวารสารวิชาการด้านการบริการสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา วันที่ 4 มีนาคม 1918 อัลเบิร์ต กิตเชล (Albert Gitchell) หน่วยปรุงอาหาร จากแฮสเค็ลล์เคาท์ตี ถูกรายงานว่าป่วยที่ฟอร์ทไรลีย์ ซึ่งในเวลานั้น อยู่ระหว่างการฝึกของทหารอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้เขาเป็นเหยื่อรายแรกที่มีการบันทึกไว้ของไข้หวัดใหญ่[39][40][41] ในวันเดียวกันนั้น ทหาร 522 นายในค่ายถูกรายงานว่าป่วย[42]เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1918 ไวรัสได้มาถึงควีนส์ นครนิวยอร์ก[37] ความล้มเหลวในการใช้มาตรการป้องกันในเดือนมีนาคม/เมษายนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในภายหลัง[4]

ในเดือนสิงหาคมปี 1918 สายพันธุ์ที่ดุร้ายยิ่งปรากฏขึ้นพร้อมกันในแบร็สต์ ประเทศฝรั่งเศส ในฟรีทาวน์ เซียร์ราลีโอน และในสหรัฐอเมริกา ในเดือนกันยายนที่ อู่ต่อเรือบอสตันและค่ายดีเวนส์ (Camp Devens) (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นฟอร์ตดีเวนส์ (Fort Devens)) ประมาณ 30 ไมล์ทางตะวันตกของบอสตัน ในไม่ช้า หน่วยทหารอื่นๆก็เริ่มเจ็บป่วยเช่นเดียวกับกองทหารที่ถูกส่งไปยังยุโรป[43]

อีกเรื่องที่แปลกคือ เกิดการระบาดอย่างรวดเร็วในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง (ในซีกโลกเหนือ) ซึ่งโดยปกติแล้วไข้หวัดใหญ่มักจะระบาดในฤดูหนาว[44]

อัตราการตาย[แก้]

ทั่วโลก[แก้]

ความแตกต่างระหว่างอัตราการตายของไข้หวัดใหญ่ตามช่วงอายุ ของการระบาดทั่วปี 1918 และการระบาดตามปกติ - เสียชีวิตต่อ 100,000 คนในแต่ละกลุ่มอายุ, สหรัฐอเมริกา, ในช่วงก่อนการระบาดใหญ่ปี 1911–1917 (เส้นประ) และการระบาดทั่วปี 1918 (เส้นทึบ)[45]
ภาวะระบาดทั่วสามระลอก: อัตราการตายของไข้หว้ดใหญ่และปอดบวมรายสัปดาห์, สหราชอาณาจักร, 1918–1919[46]

มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สเปนประมาณ 500 ล้านคนทั่วโลก หรือประมาณหนึ่งในสามของประชากรโลก[1] ในการประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ไข้หวัดใหญ่สเปนได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในโรคระบาดร้ายแรงที่มีผู้เสียชีวิตมากสุดในประวัติศาสตร์[47][48]

การประมาณการในปี 1991 ระบุว่าไวรัสฆ่าคนไประหว่าง 25 และ 39 ล้านคน[3] การประมาณการปี 2005 ระบุจำนวนผู้เสียชีวิตที่ 50 ล้านคน (ประมาณน้อยกว่า 3% ของประชากรโลก) และอาจสูงถึง 100 ล้านคน (มากกว่า 5%)[49][5] อย่างไรก็ตาม มีการประเมินใหม่ในปี 2018 คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 17 ล้านคน[50] แม้ว่าจะมีการโต้แย้งกันก็ตาม[51] ในเวลานั้นมีประชากรโลกประมาณ 1.8 ถึง 1.9 พันล้านคน[52] ประมาณการเหล่านี้ มีความสอดคล้องกันคืออยู่ระหว่าง 1 และ 6 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้คร่าชีวิตผู้คนใน 24 สัปดาห์ได้มากกว่า HIV/AIDS ในระยะเวลา 24 ปี[6] อย่างไรก็ตาม อัตราการตายต่อจำนวนประชากรยังน้อยกว่ากาฬมรณะซึ่งระบาดเป็นเวลาหลายร้อยปี[53]

โรคนี้คร่าชีวิตผู้คนไปทั่วโลก มีผู้คนราว 12-17 ล้านคนเสียชีวิตในอินเดียซึ่งประมาณ 5% ของประชากร[54] หรือเสียชีวิตอย่างน้อย 12 ล้านคน[55] ยอดผู้เสียชีวิตในเขตปกครองโดยตรงในอินเดียของอังกฤษประมาณ 13.88 ล้านคน[56]

การประมาณการยอดผู้เสียชีวิตในประเทศจีนมีความหลากหลาย[57][3] เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการขาดการรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพสู่ศูนย์กลางในช่วงเวลานั้น เนื่องจากเป็นสมัยขุนศึก การประเมินยอดผู้เสียชีวิตครั้งแรกของจีนเกิดขึ้นในปี 1991 โดยแพตเตอร์สัน (Patterson) และไพล์ (Pyle) ซึ่งคาดว่า ในประเทศจีนจะมีผู้เสียชีวิตระหว่าง 5 - 9 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การศึกษาในปี 1991 ภายหลังถูกวิพากษ์วิจารณ์และติเตียนจากการศึกษาในภายหลังเนื่องจากวิธีการศึกษามีข้อบกพร่อง และการศึกษาครั้งใหม่ที่ได้ตีพิมพ์ ประเมินอัตราการตายที่เกิดขึ้นในประเทศจีนต่ำกว่ามาก[23][58][59] ตัวอย่างเช่น อีจิมะ (Iijima) ในปี 1998 ประมาณการยอดผู้เสียชีวิตในประเทศจีนอยู่ระหว่าง 1 ถึง 1.28 ล้านคนจากข้อมูลที่มีอยู่ในเมืองท่าเรือของจีน[60] ตามบันทึกของวาตารุ อีจิมะ (Wataru Iijima)

"ในการศึกษา 'การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ ค.ศ. 1918' แพตเตอร์สันและไพล์ได้พยายามประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สเปนในประเทศจีนโดยรวม พวกเขาอภิปรายว่าในประเทศจีนมีผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่าง 4.0 ถึง 9.5 ล้านคน แต่ทั้งหมดนี้ อยู่บนพื้นฐานจากการสันนิษฐานว่าอัตราการตายอยู่ที่ 1.0–2.25 เปอร์เซ็นต์ในปี 1918 เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่ยากจนคล้ายกับอินโดนีเซียและอินเดีย ซึ่งมีอัตราการตายเป็นไปตามนั้น เห็นได้ชัดว่าการศึกษาของพวกเขาไม่ได้อยู่บนพื้นฐานข้อมูลสถิติท้องถิ่นของจีน"[61]

การประมาณการยอดผู้เสียชีวิตที่ต่ำของจีนนั้นขึ้นอยู่บนพื้นฐานอัตราการตายที่ต่ำที่พบในเมืองท่าของจีน (ตัวอย่างเช่น ฮ่องกง) และจากการสันนิษฐานว่าการติดต่อสื่อสารที่ไม่ดี ช่วยป้องกันไม่ให้ไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายเข้าไปแผ่นดินใหญ่ของจีน[57] อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์และรายงานที่ทำการไปรษณีย์ร่วมสมัย รวมถึงรายงานจากแพทย์สอนศาสนา แสดงว่าไข้หวัดใหญ่ได้แทรกซึมเข้าไปภายในประเทศจีน และระบาดหนักในบางพื้นที่ในชนบทของจีน[62]

ในญี่ปุ่น มีผู้ป่วย 23 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 390,000 คนตามรายงาน[63] ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (ปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย) ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิต 1.5 ล้านคน จากพลเมือง 30 ล้านคน[64] ในตาฮีตี มีประชากรเสียชีวิต 13% ใน 1 เดือน เช่นเดียวกับ ในซามัว 22% ของประชากร 38,000 คนเสียชีวิตในสองเดือน[65]

ในนิวซีแลนด์ ไข้หวัดใหญ่คร่าชีวิตประชากรปาเกฮา (คนขาว) ไปประมาณ 6,400 คนและชาวมาวรี 2,500 คนในหกสัปดาห์ ซึ่งชาวมาวรีมีอัตราการตายเป็นแปดเท่าของชาวปาเกฮา[66][67]

ในอิหร่านมีอัตราการตายสูงมาก: ตามการประมาณการมีผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่าง 902,400 ถึง 2,431,000 คน หรือ 8% ถึง 22% ของประชากรทั้งหมด[68]

ในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 28% ของประชากร 105 ล้านคนติดเชื้อและ 500,000 ถึง 850,000 คนเสียชีวิต (0.48 ถึง 0.81 เปอร์เซ็นต์ของประชากร)[69] เผ่าชนพื้นเมืองอเมริกันได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ ในพื้นที่สี่มุม (Four Corners) ชนพื้นเมืองอเมริกันมีผู้เสียชีวิตที่บันทึกไว้ 3,293 คน[70] ทั้งชุมชนหมู่บ้านชาวเอสกิโมและชนพื้นเมืองอะแลสกาในดินแดนอะแลสกาได้ล่มจมตายจากไป[71] ในแคนาดาเสียชีวิต 50,000 คน[72]

ในบราซิลมีผู้เสียชีวิต 300,000 คนรวมถึงประธานาธิบดี ร็อดริกส์ อัลเวส (Rodrigues Alves)[73] ในสหราชอาณาจักรมีผู้เสียชีวิต 250,000 คน ในฝรั่งเศสมีมากกว่า 400,000 คน[74]

ในกานา การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 100,000 คน[75] ตาฟารี มาคอนเนน (สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี เซลาสซี แห่งเอธิโอเปีย) เป็นหนึ่งในชาวเอธิโอเปียคนแรกที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่รอดชีวิตมาได้[76][77] แต่พลเมืองของเขาหลายรายไม่รอด ประมาณการผู้เสียชีวิตในเมืองหลวง อาดดิสอาบาบา อยู่ระหว่าง 5,000 ถึง 10,000 หรือสูงกว่า[78] ในบริติชโซมาลิแลนด์ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งประเมินว่า 7% ของประชากรพื้นเมืองเสียชีวิต[79]

ในประเทศไทย การระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนคาดว่าเกิดจากทหารอาสาที่เดินทางจากยุโรปกลับมาประเทศไทย[80] โดยเริ่มขึ้นในปลายปี 1918 ที่ภาคใต้ จากข้อมูลในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 27 กรกฎาคม 2462 เล่มที่ 36 หน้า 1193 พบว่ามีผู้ป่วยถึง 2,317,662 คน หรือ 27% ของจำนวนประชากร และเสียชีวิต 80,223 คน[81][82] รวมถึง เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถที่ทรงประชวรจนทิวงคตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่หรือปวดบวม ในปี 1920 ซึ่งคาดว่าเกิดจากไข้หวัดใหญ่สเปน[80]

ยอดผู้เสียชีวิตจำนวนมากนี้ เป็นผลมาจากอัตราการติดเชื้อที่สูงถึง 50% และความรุนแรงของอาการ ซึ่งคาดว่าเกิดจากพายุไซโตไคน์[3] อาการของโรคในปี 1918 นั้นผิดปกติ อาการแรกเริ่มทำให้เกิดการวินิจฉัยผิดพลาดเป็น ไข้เด็งกีอหิวาตกโรค, หรือ ไข้รากสาดน้อย ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งเขียนว่า "หนึ่งในอาการที่เด่นชัดของภาวะแทรกซ้อนคือเลือดออกจากเยื่อเมือก โดยเฉพาะจากจมูก กระเพาะอาหาร และลำไส้ การมีเลือดออกจากหูและจุดเลือดออกในผิวหนังก็เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน"[49] สาเหตุหลักของการเสียชีวิตเกิดจากปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย[83][84][85] ซึ่งเป็นการติดเชื้อทุติยภูมิร่วมกับไข้หวัดใหญ่ ไวรัสยังฆ่าคนโดยตรงโดยทำให้เกิดอาการตกเลือดและอาการบวมน้ำในปอด[85]

รูปแบบของการเสียชีวิต[แก้]

พยาบาลสวมหน้ากากผ้าขณะรักษาผู้ป่วยในวอชิงตันดีซี
ตำรวจซีแอตเติลสวมหน้ากากในเดือนธันวาคม 1918

ในภาวะระบาดทั่ว ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว ในปี 1918–1919 99% ของการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดทั่วในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี และเกือบครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตเป็นผู้มีอายุ 20 ถึง 40 ปี ซึ่งคาดว่าผู้สูงอายุอาจมีการป้องกันกันบางส่วนที่เกิดจากการสัมผัสกับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในปี 1889–1890 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ไข้หวัดใหญ่รัสเซีย"[86] ในปี 1920 ในอัตราการตายในหมู่คนที่อายุต่ำกว่า 65 ปีได้ลดลงจากหกเท่าเหลือครึ่งหนึ่งของอัตราการตายของคนที่อายุมากกว่า 65 ปี แต่ 92% ของการเสียชีวิตยังคงเกิดขึ้นในคนที่อายุต่ำกว่า 65 ปี[87] นี่เป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง เนื่องจากไข้หวัดใหญ่มักเป็นอันตรายถึงคนที่อ่อนแอ เช่น ทารกที่มีอายุต่ำกว่าสองปี คนชราที่อายุมากกว่า 70 ปี และผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ตามข้อมูลของนักประวัติศาสตร์ จอห์น เอ็ม. แบร์รี (John M. Barry) กลุ่มเสี่ยงที่สุดที่จะเสียชีวิตคือหญิงตั้งครรภ์ เขารายงานว่าในการศึกษาสิบสามชิ้นของผู้หญิงที่เข้ารับการรักษาในช่วงของการระบาดมีอัตราการตายอยู่ระหว่าง 23% ถึง 71%[88] หญิงตั้งครรภ์ที่รอดชีวิตเมื่อคลอดบุตร หนึ่งในสี่ (26%) จะสูญเสียบุตรไป[89]

ป้ายประกาศของคณะกรรมการสุขภาพประจำรัฐแอลเบอร์ตา

จากการวิเคราะห์สมัยใหม่แสดงให้เห็นว่าไวรัสมีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต เพราะมันก่อให้เกิดพายุไซโตไคน์ (ปฏิกิริยารุนแรงเกินไปของระบบภูมิคุ้มกัน) ซึ่งจะทำลายระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของคนหนุ่มสาว[90] นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ทำการกู้คืนไวรัสจากร่างของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกแช่แข็งไว้แล้วนำเอาสารพันธุกรรมเข้าสู่เซลล์ของสัตว์ สัตว์เหล่านี้ประสบกับความทุกข์ทรมานจากการหายใจล้มเหลวอย่างรวดเร็วและเสียชีวิตด้วยพายุไซโตไคน์ มีการตั้งสมมุติฐานว่าปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่รุนแรงของคนหนุ่มสาวได้เป็นตัวการในการทำลายร่างกาย ในขณะที่ในเด็กและผู้ใหญ่วัยกลางคนมีปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่อ่อนกว่า ส่งผลให้เสียชีวิตน้อยกว่าในกลุ่มเหล่านั้น[6][91]

ในกรณีที่อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว การเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากโรคปอดบวม โดยมีอาการปอดแข็งตัวร่วมกับการติดเชื้อไวรัส ในกรณีที่อาการป่วยค่อยเป็นค่อยไปจะเป็นปอดอักเสบจากแบคทีเรียทุติยภูมิและอาจกระทบถึงระบบประสาทซึ่งนำไปสู่ความผิดปกติทางจิตในบางกรณี การเสียชีวิตบางส่วนเกิดจากการขาดสารอาหาร


การตายระลอกสอง[แก้]

ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สเปนจากกองกำลังรบนอกประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาที่โรงพยาบาลสนามกองทัพสหรัฐ หมายเลข 45 ในเมืองเอ๊กซ์-เละ-บา (Aix-les-Bains), ฝรั่งเศส, ปี 1918

การระบาดทั่วระลอกที่สองในปี 1918 นั้นร้ายแรงและมีผู้เสียชีวิตมากยิ่งกว่าครั้งแรก การระบาดรอบแรกนั้นคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดคือผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ขณะที่ผู้ที่ยังเด็ก ผู้มีสุขภาพแข็งแรงหายป่วยได้ง่าย เดือนสิงหาคม เมื่อการระบาดระลอกที่สองเริ่มขึ้นในฝรั่งเศส เซียร์ราลีโอน และสหรัฐอเมริกา[92] ไวรัสได้กลายพันธุ์ในสายพันธุ์ที่อันตรายกว่าเดิมมาก ตุลาคม 1918 เป็นเดือนที่มีอัตราการตายสูงที่สุดของการระบาด[93]

ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นนี้มีสาเหตุมาจากสถานการณ์ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[94] ในการดำรงชีวิตของพลเรือน การคัดเลือกโดยธรรมชาติสนับสนุนไวรัสสายพันธุ์อ่อน ผู้ที่ป่วยหนักพักรักษาตัวอยู่บ้าน ไวรัสสายพันธุ์อ่อนก็ดำรงวงจรชีวิต และแพร่กระจายสายพันธุ์อ่อนต่อไป ในสนามเพลาะ การคัดเลือกโดยธรรมชาติกลับตรงกันข้าม ทหารที่มีไวรัสสายพันธุ์อ่อนอยู่ในที่ที่พวกเขาอยู่ ในขณะที่ผู้ป่วยหนักถูกส่งตัวโดยรถไฟที่มีคนหนาแน่นไปโรงพยาบาลสนามที่มีผู้คนหนาแน่น และกระจายเชื้อไวรัสร้ายแรงออกไป การระบาดระลอกสองเริ่มขึ้น และไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ดังนั้น ผลที่สุดก็คือ ในช่วงการระบาดทั่ว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้ความสนใจเมื่อไวรัสมาถึงสถานที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ทางสังคม (มองหาไวรัสสายพันธุ์ร้ายแรง)[95]

ความจริงที่ว่าคนส่วนใหญ่ที่หายจากการติดเชื้อจากการระบาดรอบแรกได้มีภูมิคุ้มกัน แสดงให้เห็นว่ามันจะต้องเป็นไข้หวัดสายพันธุ์เดียวกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในโคเปนเฮเกนซึ่งมีอัตราการตายรวมกันเพียง 0.29% (0.02% ในรอบแรกและ 0.27% ในรอบที่สอง) เพราะได้รับเชื้อจากการระบาดรอบแรกที่อันตรายน้อยกว่า[96] สำหรับอัตราการตายของประชากรในการระบาดรอบที่สองที่มากกว่านั้น เกิดจากกลุ่มเสี่ยง เช่น ทหารในสนามเพลาะ[97]

ระลอกที่สามปี 1919 และระลอกที่สี่ปี 1920[แก้]

ในเดือนมกราคม 1919 ไข้หวัดใหญ่สเปนระลอกที่สามได้ระบาดที่ออสเตรเลีย จากนั้นก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกาจนถึงเดือนมิถุนายนปี 1919[98][99][100] ประเทศส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบได้แก่ สเปน, เซอร์เบีย, เม็กซิโก และบริเตนใหญ่ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน[101] แม้การระบาดระลอกสามจะรุนแรงน้อยกว่าระลอกที่สอง แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตมากกว่าระลอกแรก

ในฤดูใบไม้ผลิปี 1920 มีการระบาดเล็กๆเกิดขึ้นเป็นระลอกที่สี่[102] ในพื้นที่โดดเดี่ยวประกอบด้วย มหานครนิวยอร์ก [103] สหราชอาณาจักร, ออสเตรีย, สแกนดิเนเวีย และบางเกาะในหมู่เกาะอเมริกาใต้[104] มีอัตราการตายต่ำมาก

ชุมชนที่ถูกทำลาย[แก้]

พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย[แก้]

แอสไพรินเป็นพิษ[แก้]

ในปี 2009 ในบทความที่ตีพิมพ์ใน Clinical Infectious Diseases (วารสารโรคติดเชื้อทางคลินิก) คาเรน สตาร์โค (Karen Starko) เสนอว่าแอสไพรินเป็นพิษมีส่วนสำคัญต่อการเสียชีวิต บนพื้นฐานจากรายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ที่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในช่วงเวลา "death spike" ครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 1918 ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานหลังจากแพทย์ทหารของกองทัพสหรัฐและ Journal of the American Medical Association แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินปริมาณมากขนาด 8 ถึง 31 กรัมต่อวันเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา ยาปริมาณนี้ทำให้ผู้ป่วย 33% เกิดอาหารหายใจเร็วกว่าปกติ และผู้ป่วย 3% เกิดอาการปอดบวมน้ำ[105]

สตาร์โกยังตั้งข้อสังเกตว่าการเสียชีวิตจำนวนมากในช่วงแรกแสดงให้เห็นว่าปอดมีน้ำหรือมีน้ำเลือดซึมซ่าน ในขณะที่ผู้เสียชีวิตในช่วงปลายแสดงอาการปอดอักเสบจากแบคทีเรีย เธอกล่าวว่าเหตุการณ์แอสไพรินเป็นพิษเป็นเพราะ "พายุมหาประลัย" ของเหตุการณ์สิทธิบัตรยาแอสไพรินของไบเออร์หมดอายุ หลายบริษัทรีบวิ่งเข้าไปทำกำไรและเพิ่มอุปทาน ซึ่งเกิดขึ้นใกล้เคียงกับเหตุการณ์ไข้หวัดใหญ่สเปน และอาการของแอสไพรินเป็นพิษยังไม่เป็นที่รู้จักในเวลานั้น[105]

ผู้บังคับรถรางในซีแอตเทิลในปี 1918 ปฏิเสธที่จะอนุญาตให้ผู้โดยสารที่ไม่ได้สวมหน้ากากขึ้นรถ

สมมติฐานอัตราการตายทั่วโลกที่สูงนั้นเกิดจากแอสไพรินเป็นพิษนี้ถูกตั้งคำถามในจดหมายถึงวารสารที่ตีพิมพ์ในเดือนเมษายน 2010 โดย แอนดรูว์ นอยเมอร์ (Andrew Noymer) และ เดซี่ แคาร์รออน (Daisy Carreon) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ และ นีล จอห์นสัน (Niall Johnson) คณะกรรมาธิการความปลอดภัยและคุณภาพการดูแลสุขภาพออสเตรเลีย พวกเขาตั้งคำถามถึงทฤษฎีการใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางของแอสไพริน เนื่องจากอัตราการตายสูงในประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย ที่มีแอสไพรินน้อยหรือไม่มีการเข้าถึงเลย เมื่อเทียบกับอัตราการตายในบางสถานที่ที่แอสไพรินมีมากมาย[106]

พวกเขาสรุปว่า "การตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับซาลิไซลิก (แอสไพริน) เป็นพิษ เป็นเรื่องยากที่จะสนับสนุนซึ่งคำอธิบายปฐมภูมิสำหรับความรุนแรงที่ผิดปกติของการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ในปี 1918–1919"[106] สตาร์โกตอบโต้โดยกล่าวว่ามีหลักฐานโดยเรื่องเล่าของการใช้แอสไพรินในประเทศอินเดีย และเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า ถ้าการใช้แอสไพรินเกินกำหนดไม่ได้มีส่วนทำให้อัตราการตายในอินเดียสูง แต่มันคงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอัตราการตายที่สูง ในพื้นที่ที่ปัจจัยรุนแรงอื่นๆที่มีอยู่ในอินเดียมีบทบาทน้อย[107]

จุดสิ้นสุดของการระบาด[แก้]

หลังจากการระบาดรุนแรงรอบที่สองในช่วงปลายปี 1918 ผู้ป่วยรายใหม่ลดลงอย่างฉับพลัน แทบจะไม่ผู้ป่วยเลยหลังจากผ่านจุดระบาดสูงสุดในคลื่นลูกที่สอง[6] ตัวอย่างเช่นในฟิลาเดลเฟีย มีผู้เสียชีวิต 4,597 รายเมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ในวันที่ 16 ตุลาคม แต่เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนไข้หวัดใหญ่กลับหายตัวไปจากเมืองอย่างไร้ร่องรอย คำอธิบายหนึ่งสำหรับการลดลงอย่างรวดเร็วของโรคนี้คือ แพทย์มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการป้องกันและรักษาโรคปอดบวมที่พัฒนาขึ้นหลังจากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส อย่างไรก็ตาม จอห์น แบร์รี่ (John Barry) ระบุไว้ในหนังสือ The Great Influenza: The Epic Story of the Deadliest Plague In History ของเขาว่า นักวิจัยไม่พบหลักฐานที่สนับสนุนคำอธิบายนี้[90] ยังมีบางกรณีที่ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตในมีนาคม 1919 ผู้เล่นคนหนึ่งในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศถ้วยสแตนลีย์ 1919 ได้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สเปน

อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าเชื้อ 1918 ไวรัส ได้กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสายพันธุ์ที่มีความร้ายแรงน้อยลง นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วไปกับไวรัสไข้หวัดใหญ่กล่าวคือ มีแนวโน้มว่าไวรัสก่อโรคจะมีความร้ายแรงน้อยลงตามกาลเวลา เนื่องจากโฮสต์ของสายพันธุ์ที่อันตรายกว่ามีแนวโน้มที่จะตายจากไปจนหมด[90]

ผลกระทบระยะยาว[แก้]

จากการศึกษาปี 2006 ใน Journal of Political Economy (วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง) พบว่า "เด็กในครรภ์ระหว่างการระบาดทั่วจะมีความสำเร็จทางการศึกษาลดลง, อัตราความพิการทางร่างกายเพิ่มขึ้น, รายได้ลดลง, สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ตกต่ำ, และได้รับเงินโอนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นอื่น"[108] จากการศึกษาปี 2018 พบว่าการระบาดใหญ่ลดความสำเร็จทางการศึกษาในประชากร[109]

ไข้หวัดใหญ่มีความเชื่อมโยงกับการระบาดของสมองอักเสบแบบไม่เคลื่อนไหวในคริสต์ทศวรรษที่ 1920[7]


แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]




No comments:

Post a Comment

อวยยศ

 ONG SEONG WU           เพลงGUESS WHO ของพี่องคือปังมากปังไม่หยุดจริงๆintroตอนเพลงขึ้นกับท่อนEngคือฟีลแบบสนุกสนานน่าค้นหามากถึงมากที่สุด คือ...